ทำอะไรให้รวย

10 วิธีที่ทำให้รวยเร็วที่สุด

เจ้าของร้าน
เจ้าของร้าน
1 ปีที่ผ่านมา
10 วิธีที่ทำให้รวยเร็วที่สุด ( VERSION ENG )
1. Invest - Start young. In fact start while you are in elementary school, kindergarten is even better. It’s the beauty of compound interest and over time your money will grow into a nice nest egg. Okay if you are reading this you are probably too old to start in elementary school but you can get your kids hooked. As for you the best plan of defense is to invest 50% of your salary in a high risk market fund or the penny stock market. You’ve got a 50-50 chance. You’ll either make a million or be broke in 90 days.

2. Marry Rich - Now how difficult can this be? All you need to do is find someone who has loads of money and marry them. Okay I didn’t say you’d be happy just rich. Perhaps not a solution for most of us but it apparently works for a few.

3. Win The Lottery - Ya ya I know the odds of getting struck by lightening are better than the odds of winning the lottery but you can’t win if you don’t try and it’s one of the few ways I know of that you can get rich fast.

4. Rich Parents - If you come from a wealthy family then you are half way there. All you have to do is stay in their good books and convince mom and dad to not spend their money and leave it to you when they pass. After all why should your parents get to enjoy the wealth they reaped?

5. Get An Education - Go to school for lots of years, accumulate plenty of debt, and choose a career that pays big bucks. After about 10 years in your profession you should be rolling in the dough and you might even be filthy rich before you get old

6. Become A Star - Heck if Jennifer Aniston or Nicolas Cage can do it why can’t you. A couple of acting lessons and you should be set. All you need to do is head to Hollywood and strike it big. One good movie and you’ll be set for life.

7. Invest In Real Estate - Buy high sell low – whoops I think I got that backwards. Buy low, wait 10 years, 20 years, maybe even 30 years but inflation will have your investment growing by leaps and bounds and you could be filthy rich especially if you bought in an up and coming city while house prices were still low. Now if you bought in Hicksville USA you may have a problem. It might take more than your lifetime to see any dramatic increases. Oh well you can leave it to your kids who can leave it to their kids and in another 100 years or so someone’s going to be sitting pretty.

8. The Internet Way - Heck where have you been. A quick search on the Web will reveal plenty of sites that will teach you how to make $50,000 a day. Now I think most of us could live quite comfortably on that don’t you? All you need to do is part with about $500 and they’ll tell you the secrets of wealth in one page or less. If the first one doesn’t do it for you perhaps you might want to try a few more. Oh wait a minute. Perhaps what you need to do is set up one of these sights, then you’ll be the one getting rich off the other poor fools that part with their $500.

9. Bank Robbery - Okay highly illegal and could land you a lifetime in the slammer but desperate needs require desperate measures. After all if you get caught you might not be rich but you’ll have free room and board for the rest of your life and then you could write a book about what not to do when robbing a bank and well see you could get rich from your book. And even better, you’ll stay rich because there is really no place to spend it while in jail.

10. High Risk Work - Take on those high risk jobs no one else wants. You know counselor in Iraq, bean counter in Afghanistan, Oil tycoon in Iran. But hey if you live through it you’ll be rolling in the dough. What does it matter that 99% never live through it. You’ve got a 1% chance and when it comes to getting rich those are pretty good odds.
สำหรับหญิงคิดว่า......1 ล้านต่อปี ง่ายมว๊ากกก ( อย่า อยู่ อย่าง อยาก...ชีวิตเรา ใช้ซะ !! )
1. เป็นเจ้าของกิจการ เพราะทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย เป็นลูกจ้างทำมากน้อยก็ได้เท่าเดิม -_-"
2. ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ทองคำ หุ้น อีก 5 ปีกำไรเห็นๆ
3. โอกาสดีๆ ไม่ได้มีมาบ่อยๆ อะไรกำลังอินเทรนด์ จัดเต็ม โกยยยย 
4. ซักถามผู้ที่ประสบความสำเร็จ ( การลงทุนที่ต่ำ ที่สุด )
5. รู้จักให้ เพราะ....ยิ่งให้ ยิ่งได้นะจ๊ะ ^___^

วิธีเป็นเศรษฐีเงินล้าน

         “เงินไม่ใช่พระเจ้า  แต่เงินก็สามารถซื้อทุกอย่างที่พระเจ้าสร้างไว้บนผืนพิภพแห่งนี้”

         พูดอย่างนี้ มิได้มีเจตนาบูชาเงินเป็นสรณะ แต่ถ้าคุณคิดว่าตนเองเป็นคนดี  ถามว่า เงินถ้าอยู่กับคนดีๆ มีอะไรเสียหายไหม วันหนึ่งคุณเกิดมีเหตุจำเป็นต้องใช้ หรือ อยากช่วยใครสักคน แล้วมีเงินอยู่ในมือที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ ถามว่าดีไหม

         เพียงแต่ว่า เงินก้อนนั้น ต้องได้มาด้วยวิธีที่ถูกกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ผิดจริยธรรม ไม่ไปเบียดเบียนใคร    เรามักจะพูดกันว่า ถ้ามีเงินเป็นล้านจะเป็นเศรษฐี ถามจริงๆว่า ถ้ามีเงินเพียง 1 ล้านบาท นับเป็นเศรษฐีได้จริงๆหรือ เดี๋ยวนี้ 1 ล้านบาทไม่พอซื้อบ้าน , ไม่พอซื้อรถยี่ห้อแพงๆ, ไม่พอรักษาโรคร้ายแรง เงิน 1 ล้านบาทแทบทำอะไรไม่ได้เลย

           ในบทความนี้ จึงตั้งสมมติฐานว่า เศรษฐีควรจะมีเงินเก็บสัก 10 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อจะได้อยู่อย่างสบายๆหลังเกษียณอายุ   แล้วจะมีวิธีอะไรที่ทำให้หาเงินได้ 10 ล้านบาทโดยไม่ได้ไปจี้ไปปล้นใครมา

          1.เป็นเจ้าของกิจการ
          ใครๆก็รู้ว่า เป็นเถ้าแก่ จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่สถิติพบว่าธุรกิจเปิดใหม่ จะล้มหายตายจากไปในปีที่สองถึง 70% และจะอยู่อย่างยั่งยืนเกิน 10 ปี ได้เพียง 3-5% เท่านั้น แต่ผู้คนทั่วโลกก็ดูเหมือนจะมุ่งหน้าสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจกันไม่เว้นแต่ละวัน อย่างน้อยก็ขอลองสักตั้ง  ไม่ว่าจะเสี่ยงเพียงใด มาดูว่าเจ้าของธุรกิจ ทำเงินกันอย่างไร

          สูตรที่มักจะใช้อธิบายกำไรของเจ้าของธุรกิจคือ
          ยอดขาย - ต้นทุนคงที่ - ต้นทุนแปรผัน = กำไร

          เพื่อทำให้เห็นภาพ ขอยกตัวอย่างเช่นธุรกิจหนึ่งหากมี ยอดขายต่อเดือนที่ 1 ล้านบาท จะมีต้นทุนคงที่ 800,000 บาท ต้นทุนแปรผัน 200,000 บาท ดังนั้น หากเจ้าของธุรกิจจะมีกำไรเขาต้องผลักดันยอดขายให้สูงกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือน ถ้ายอดขายต่ำกว่า  1 ล้านบาทจะขาดทุนทันที เช่น ถ้ายอดขาย 1,500,000 บาท ต้นทุนคงที่เท่ากับ 800,000 บาทคงเดิม ต้นทุนแปรผันจะขึ้นมาเป็น 1.5เท่าของเดิมซึ่งเท่ากับ 300,000 บาท  เดือนนั้นจะกำไร 1,500,000 - 1,100,000 = 400,000 บาท

          แต่ถ้า ยอดขายเป็น 3,000,000 บาท ต้นทุนคงที่เท่ากับ 800,000 บาท ต้นทุนแปรผันจะขึ้นมาเป็น 3 เท่าซึ่งเท่ากับ 600,000 บาท   เดือนนั้นจะมีกำไรเท่ากับ 3,000,000 บาท - 1,400,000 = 1,600,000บาท

          ในทำนองกลับกัน ถ้ายอดขายตกลงมาเหลือ 500,000 บาทต้นทุนคงที่ยังคงเท่ากับ 800,000 บาท ต้นทุนแปรผันอาจลดลงครึ่งหนึ่งของเดิมเท่ากับ 100,000 บาท เดือนนั้นจะมียอดขาดทุนเท่ากับ500,000 - 900,000  = -400,000 บาท

           ตัวเลขข้างต้นเป็นตัวเลขสมมติคร่าวๆเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ซึ่งในชีวิตจริงจะซับซ้อนกว่านี้ และแต่ละธุรกิจก็มีสัดส่วนของตัวเลขต้นทุนคงที่และต้นทุนแปรผันแตกต่างกันไป แต่ก็ทำให้เราเข้าใจว่า การเป็นเจ้าของธุรกิจนั้น รวยเร็ว และ เจ๊งเร็ว  พอๆกัน ขึ้นกับฝีมือ ขึ้นกับความต้องการของตลาด ขึ้นกับปัจจัยหลายๆอย่าง

          หากสร้างธุรกิจได้ประสบความสำเร็จแล้ว ก็จะร่ำรวยเงินไหลมาเทมา โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เงินสด 10 ล้านบาท จึงเป็นเรื่องเล็กๆสำหรับเถ้าแก่เหล่านี้

          ปัจจุบันพบว่า มีเถ้าแก่หัวหมอที่ต้องการรวยลัดยิ่งๆขึ้น เขาใช้วิธีสร้างธุรกิจแล้วขายต่อทำกำไร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งขายในตลาดหลักทรัพย์ เพราะได้สิทธิไม่ต้องเสียภาษีส่วนกำไร  ถ้าสร้างธุรกิจมาด้วยน้ำพักน้ำแรงจนมั่นคงแล้วขายต่อ  คงจะไม่มีใครว่าอะไร เพราะอยู่ในกรอบอยู่ในเกณฑ์

          แต่ถ้าใช้วิธีสร้างข่าวสร้างภาพให้หุ้นตัวเอง ด้วยการเทคโอเวอร์ , ขอสัมปทาน ,ปั้นสารพัดโปรเจค์ขึ้นมาขายฝันแล้วขายออก   เป็นเรื่องที่น่าชิงชังอย่างยิ่ง

           คนขายรับเงินล่วงหน้าในอนาคตของประมาณการ ยอดขาย สิทธิสัมปทาน และ ค่านิยม  (GOOD WILL) ต่างๆที่ตอบสนองไปในราคาหุ้นเรียบร้อยแล้ว ปล่อยให้คนซื้อไปรับความเสี่ยงแทนว่ารายได้ในอนาคตจะได้ตามที่นักวิเคราะห์ขายฝันให้หรือเปล่า

            2.เป็นผู้บริหารระดับสูง
             สมัยก่อน พวกเถ้าแก่มักจะพูดสอนลูกหลานว่า  เวลาเรียน ไม่ต้องเรียนสูงนัก พอให้จบปริญญาตรีแล้วมาทำการค้าจะร่ำรวยกว่า พวกที่เรียนสูงจนจบด๊อกเตอร์ สุดท้ายก็ไปเป็นลูกน้อง รับจ้างบริหารให้พวกเถ้าแก่ รับเงินเดือน 80,000 - 100,000 บาท แต่ไม่รวย

            สมัยนี้ เราดูถูกนักบริหารมืออาชีพไม่ได้เสียแล้ว หากมีฝีมือจริง สามารถสร้างผลงานจนได้รับความไว้ใจจากเถ้าแก่หรือผู้ถือหุ้น จนขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่ง เบอร์สองของบริษัทแล้ว  เขาจะสามารถทำรายได้ปีละ 5-10 ล้านบาทได้อย่างสบายๆ

           รายได้ขนาดนี้มาได้อย่างไร
           บริษัทใหญ่ๆระดับประเทศ  การที่ผู้บริหารสูงสุดจะมีเงินเดือนๆละ 200,000 - 500,000 บาท ไม่ใช่เรื่องแปลก  และยิ่งถ้าได้เป็นกรรมการบอร์ดของบริษัทในเครืออีกสัก 4-5 แห่ง รับเบี้ยประชุมเพิ่มอีกแห่งละ 300,000 - 1,000,000 บาทต่อปีก็มีให้เห็นมากมาย

           บางบริษัทใช้วิธีตั้งโบนัสหรือส่วนแบ่งกำไรตามยอดขาย หากว่าทำได้ตามเป้าที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี  ช่วงเศรษฐกิจรุ่งเรือง บริษัทใหญ่ๆต่างสร้างสถิติยอดขายใหม่สูงสุด ทำให้ผู้บริหารร่ำรวยไปตามๆกันหลายคนได้โบนัสถึง 3-5 ล้านบาท โดยไม่คาดฝัน

           อีกช่องทางที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้ผู้บริหารคือ (ESOP / EMPLOYEESTOCK OPTIONPLAN) ที่กรรมการบริษัทมักจะลงมติมอบสิทธิในการซื้อหุ้นให้กับผู้บริหารและพนักงานบริษัท เพื่อจูงใจให้เร่งสร้างกำไร   ปรากฏว่า หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่กว่า 70% มักมอบให้กับผู้บริหาร 5-6 คนแรกของบริษัท บางคนได้สิทธิจองซื้อถึง 10 ล้านหุ้น

           ลองนึกภาพดูว่า หากสามารถผลักดันกำไรจนทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปเหนือราคาสิทธิ 5-6 บาทต่อหุ้น เขาจะมีกำไรคนละ 50-60 ล้านบาททีเดียว นักบริหารมืออาชีพจึงเป็นกลุ่มคนที่มองข้ามไม่ได้

           3.เป็นนักขายตรง
            คนไทยมักรังเกียจอาชีพงานขาย ดูถูกว่าต่ำต้อย ขณะที่ฝรั่งเขามองว่าเป็นงานที่ใช้ทักษะและใช้ความสามารถสูง เราจึงพบว่า ผู้บริหารของบริษัทฝรั่งหลายคนมักมีพื้นฐานมาจากขาย หรือ อยู่ฝ่ายขายมาก่อน

             งานขายตรง ไม่ว่าประกันชีวิต เครื่องสำอางค์หรือยาชูกำลังสารพัด มักได้ค่านายหน้าประมาณ 30%ไม่ว่าจะเป็นการขายครั้งแรกหรือเมื่อขายซ้ำ   ยกเว้นงานขายประกันชีวิตที่จะได้มากในปีแรก

             ส่วนผู้บริหารทีมงานจะได้ค่าบริหารประมาณ 30%ของค่านายหน้าของลูกทีมซึ่งน่าจะตกประมาณ 10%ของยอดขายสินค้ารวม ลองนึกภาพดูว่า ถ้าทีมงานขายนั้นสร้างยอดขายต่อปีได้ถึง 100 ล้านบาท ผู้บริหารทีมงานก็จะมีรายได้ถึง 10 ล้านบาทต่อปีทีเดียว หรือตัวนักขายเองหากขยันพบลูกค้า จะสามารถทำยอดขายได้ 10 ล้านบาทต่อปี เขาก็สามารถมีรายได้ 3 ล้านบาทต่อปีได้เช่นกัน

            4.เป็นนักวิชาชีพผู้ประสบความสำเร็จ
            เราคงเคยได้ยิน เรื่องแพทย์เฉพาะทาง ,ทนายความผู้เชี่ยวชาญ ,สถาปนิกผู้โด่งดัง ที่สามารถทำเงินได้ปีละ 5-10 ล้านบาท บางคนสามารถเรียกค่าปรึกษาเป็นนาที ตั้งราคาได้ตามที่ตนเองพอใจ คนเหล่านี้ย่อมเป็นเศรษฐีได้ตามปรารถนา

             5.เป็นนักลงทุนผู้ชาญฉลาด
             ถึงแม้เราจะเป็นคนธรรมดา มีอาชีพแค่เป็นลูกจ้าง เป็นคนกินเงินเดือน เราก็สามารถเป็นเศรษฐีได้เหมือนกันถ้าเราเก็บเงินเก่ง  รู้จักช่องทางลงทุน และลงทุนได้อย่างชาญฉลาด สมมติว่าเราเก็บเงินได้เดือนละ10,000 บาท ปีละ 120,000 บาทเก็บได้ทุกปีอย่างต่อเนื่อง แล้วเรานำเงินนี้ไปลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หรือกองทุนรวมชนิดต่างๆ หากคุณสามารถทำกำไรได้เฉลี่ยปีละ 15 % ผ่านไป 20 ปีเงินของคุณจะงอกเงยมาเป็น 14 ล้านบาท

             แต่ถ้าคุณสามารถลงทุนให้ได้ผลตอบแทนถึงปีละ 20 % อีก 20ปีข้างหน้า เงินของคุณจะกลายเป็นเงิน 27 ล้านบาท  ถึงตอนนั้น คุณก็ได้ชื่อว่าเป็นเศรษฐีเหมือนกับเขา

            ที่เล่ามา เป็นกลุ่มหลักๆที่พอจะประมวลมาได้ว่า  เป็นช่องทางที่คนทั่วไปจะมาดมั่นขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้ ขณะที่บางอาชีพทำให้ตาย ขยันอย่างไร ก็ไม่มีทางรวย แต่ คุณเห็นด้วยกับผมไหมว่า ทุกกลุ่มที่พูดมาทั้งหมดมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ต้องขยันมุ่งมั่นและอดทนอย่างถึงที่สุด จึงจะบรรลุความสำเร็จ

            ว่าแต่ว่า คุณมีคุณสมบัตินี้แล้วหรือยัง ถ้ามี เงินล้าน เงินสิบล้าน ก็รอเป็นรางวัลชีวิตให้คุณเหมือนกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น