วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เทคนิคซื้อทองให้รวย

หลายคนยังนิยมซื้อทองคำเพื่อการลงทุน แต่ใช่ว่า ทุกคนที่ลงทุนทองคำจะได้กำไร เพราะหากลงทุนผิดจังหวะ หรือผิดวิธีก็อาจขาดทุนได้ เราจึงมี 5 เทคนิคซื้อทองให้รวยมาฝากกันคะ


1. เลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนให้เหมาะกับตัวเอง หากต้องการลงทุนทองคำ ปัจจุบันมีเครื่องมือในการลงทุนหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ กองทุนทองคำ และ Gold Futures
ทองคำแท่งนับเป็นรูปแบบการลงทุนที่หลายคนคุ้นเคย โดยเหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ส่วนทองรูปพรรณอาจไม่เหมาะกับการลงทุนมากนัก เพราะทองรูปพรรณมีการคิดค่ากำเหน็จ ซึ่งจะทำให้กำไรจากการลงทุนลดน้อยลงไปได้ แต่ก็มีข้อดีคือ สามารถนำมาสวมใส่เป็นเครื่องประดับ ข้อควรระวังหลักของการลงทุนทองคำแท่งและทองรูปพรรณคือ การเก็บรักษา เพราะมีความเสี่ยงที่ทรัพย์สินจะสูญหายได้

ส่วนกองทุนทองคำนั้นเป็นรูปแบบการลงทุนที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะสามารถซื้อขายได้ง่าย ไม่ว่าจะซื้อผ่านธนาคารที่เป็นตัวแทนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือผ่านอินเทอร์เน็ต อีกทั้งยังปลอดภัยไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บรักษา และมีโอกาสได้รับเงินปันผล (กรณีที่กองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผล) โดยการลงทุนกองทุนทองคำเหมาะกับนักลงทุนทั้งระยะสั้นและระยะยาว ส่วน Gold Futures หรือสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า จัดเป็นการลงทุนทองคำที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในการลงทุนทองคำทั้ง 4 รูปแบบ เนื่องจากเป็นการลงทุนในสัญญาอนุพันธ์ที่ราคาของ Gold Futures จะเปลี่ยนแปลงตามราคาทองคำ เมื่อราคาทองคำมีการเคลื่อนไหว ราคาของ Gold Futures จะเปลี่ยนแปลงในสัดส่วนที่มากกว่า โดยสามารถทำกำไรได้ทั้งในช่วงราคาทองคำเป็นขาขึ้นและขาลง และเหมาะกับนักเก็งกำไรระยะสั้น

2. ตั้งเป้าหมาย การลงทุนทองคำอาจแบ่งได้เป็นการลงทุนระยะสั้นและระยะยาว ในการลงทุนระยะสั้น การติดตามแนวโน้มทางเทคนิคของราคาทองคำเป็นสิ่งสำคัญ หากราคาทองคำมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น เรายังคงสามารถถือลงทุนทองคำต่อได้ แต่หากราคามีแนวโน้มเป็นขาลง หรือหลุดแนวรับสำคัญทางเทคนิค เราอาจจะต้องตัดใจขายทองคำในราคาที่ขาดทุนออกไปก่อน เพราะหากถือต่อไปจะทำให้ไม่มีเงินสด เพื่อซื้อลงทุนรอบใหม่ได้ ส่วนผู้ที่ตั้งใจลงทุนระยะยาว หากราคาทองคำปรับตัวขึ้น ก็ต้องตั้งมั่นและถือทองคำให้ได้ตามเป้า โดยไม่รีบขายทองคำออกไป ส่วนเมื่อราคาทองคำปรับลดลง ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ซื้อทองคำในราคาที่ถูกลง อีกหนึ่งเทคนิคที่ผู้ลงทุนทองคำระยะยาวควรใช้คือ การซื้อทองคำอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกเดือน (Dollar Cost Averaging) เพื่อถัวเฉลี่ยราคา และลดความเสี่ยงจากการลงทุนได้ค่ะ


3. กำหนดสัดส่วนเงินลงทุนในทองคำ แม้หลายคนจะรู้สึกว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย สามารถทยอยซื้อสะสมได้อย่างต่อเนื่อง แต่จริงๆ แล้ว ทองคำถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทหนึ่ง ซึ่งนับว่ามีความเสี่ยงที่สูง ดังนั้น สัดส่วนเงินที่ลงทุนในทองคำควรมีไม่เกิน 5-10% ของเงินลงทุน หากเราไม่ได้มีการกันเงินเพื่อลงทุนในทองคำอย่างชัดเจน อาจทำให้มีสัดส่วนเงินลงทุนในทองคำมากจนเกินไป ซึ่งทำให้พอร์ตลงทุนของคุณมีความเสี่ยงสูงกว่าที่คาดไว้

4. ติดตามข่าวสารข้อมูล หลากหลายปัจจัยที่มีผลกับการขึ้นลงของราคาทองคำ เช่น การเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ภาวะเศรษฐกิจโลก ความต้องการใช้ทองคำเพื่อเป็นเครื่องประดับ แนวโน้มทางเทคนิคของราคาทองคำ เป็นต้น หากคิดอยากลงทุนทองคำให้ได้กำไร เราควรติดตามปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลกับราคาทองคำอย่างใกล้ชิด เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างกำไรค่ะ

5. ปรึกษาผู้รู้ แม้เราจะรู้สึกคุ้นเคยกับการลงทุนทองคำ แต่ปัจจุบันราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวน ยิ่งใครที่ลงทุนทองคำในช่วงนี้ จะรู้สึกว่าทำกำไรจากทองคำได้ยากขึ้น ดังนั้น การปรึกษาหรือสอบถามกับผู้มีความรู้เรื่องการลงทุนทองคำจะช่วยให้เราทำกำไรจากทองคำได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ที่ลงทุนใน Gold Futures สามารถสอบถามได้จากเจ้าหน้าที่การตลาดที่ให้การดูแลค่ะ สำหรับผู้ที่ลงทุนในกองทุนทองคำ สามารถปรึกษาได้ที่ K-expert ทุกสาขา หรือเขียนเข้ามาสอบถามได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com  และเว็บบอร์ดในเว็บไซต์ K-Expert

นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่สนใจข่าวสารการเงินดีๆ ติดตามได้ที่ เว็บไซต์ www.askKBank.com/K-Expert  และยังสามารถติดตามข่าวสารราคาทองคำรายวันและแนวโน้มราคาทองคำได้ที่Twitter@ KBank_Expert


แหล่งที่มา http://www.dailynews.co.th

Nial Fuller เทรดเดอร์ค่าเงินสไตล์ Price action

Nial Fuller คือเทรดเดอร์อิสระที่เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเทรดเดอร์ค่าเงินสไตล์ price action ที่พยายามเผยแพร่แนวคิดและวิธีการในการทำกำไรของเขาผ่านเว็บไซต์ส่วนตัว ด้วยแนวคิดที่เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน บวกกับความสามารถในการถ่ายทอดที่ทำให้มือใหม่ทั้งหลายสามารถเรียนรู้ได้ ทำให้เขาเป็นอาจารย์สอนเทรดค่าเงินที่มีผู้ติดตามมากที่สุดคนนึง ในแต่ละปีจะมีผู้ติดตามอ่าน website ของเขามากกว่า 500,000 คน 
เทคนิคการเทรดค่าเงินของ Nial นั้นจะใช้สไตล์ price action เท่านั้น เขาจะไม่สนใจอินดิเคเตอร์ โดยหลักการของเขาคือเขาจะพิจารณาว่าราคาได้ “กระทำต่อ” แนวรับแนวต้านอย่างไร รวมถึงการดูรูปแบบการฟอร์มตัวของแท่งเทียน เพื่อหาจังหวะเข้า order เขาอธิบายว่า กราฟที่ดูสับสนวุ่นวายด้วย indy เต็มหน้าจอ นอกจากจะทำให้คุณเครียดเพราะเข้าใจมันยากแล้ว คุณยังต้องปวดหัวกับการตีความมันด้วย สุดท้ายคุณคงต้องสับสนในตัวเองแน่ๆ เขาบอกว่าทำไมคุณไม่ทำให้มันง่ายกว่านั้นล่ะ ในเมื่อกราฟเปล่าๆ ก็สามารถช่วยให้คุณหาแนวโน้มและทิศทาง รวมถึงหาจังหวะเข้าเทรดได้เหมือนกัน


Messy Chart
Clean Chart
สำหรับวิธีการเทรดโดยใช้ price action นั้น Nail เผยว่าเขาใช้หลักการฟอร์มตัวของแท่งเทียนเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการกลับตัวแบบ Pin bar ,การฟอร์มตัวของ inside bar และ fakey ในการพิจารณาแนวโน้มของราคารวมถึงการหาจังหวะเขาเทรด

คุณต้องทำให้การเทรดของคุณเป็นเรื่องที่เรียบง่าย และที่สำคัญคือคุณต้องวางแผนการเทรดก่อนการเข้าเทรดทุกครั้ง เพื่อเป็นการควบคุมอารมณ์ของคุณ ไม่ให้ความโลภมาครอบงำคุณในช่วงเวลาที่ลงสนามจริง เพราะสิ่งที่จะตัดสินว่าคุณจะทำกำไรจากตลาดแห่งนี้ได้อย่างสม่ำเสมอหรือไม่ไม่ใช่ระบบเทรด ไม่ใช่วิธีการเข้า order แต่มันคือความสามารถในการควบคุมอารมณ์และจิตใจที่เข้มแข็งเท่านั้น
คุณเป็นเทรดเดอร์สไตล์ไหน Day trader หรือ Swingtrader? 
Nial Fuller : ในทางทฤษฎีผมเป็นทั้งสองแบบครับ มันขึ้นกับสภาวะตลาดและรูปแบบการฟอร์มตัวของแท่งเทียนที่ผมเห็นโอกาสในการเข้าเทรด ผมจะเทรดใน Time frame 4 ชั่วโมง และ 1 วัน นั่นทำให้ผมมีโอกาสในการเข้า order ทั้งขาขึ้นและขาลง อืม….ผมว่าคงเป็นเพราะสไตล์การเทรดที่มีความยืดหยุ่นของผมที่ทำให้ผมไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองเป็นเทรดเดอร์สไตล์ไหน แต่ถ้าให้ตอบจริงๆ ก็นั่นแหละครับ ผมเป็นได้ทั้งสองอย่าง
คุณใช้กราฟ Time frame ไหนในการเทรด?
Nial Fuller : อย่างที่ผมบอกไปแล้ว ผมจะเทรดบนกราฟ 1 วัน, 4 ชั่วโมง และบางครั้งก็ 1 ชั่วโมงด้วย ผมสนับสนุนให้เทรดโดยการใช้ price action ใน time frame ที่ใหญ่หน่อย ในความเห็นผม ผมว่านี่เป็นสาเหตุที่ทำไมคนส่วนใหญ่จึงล้มเหลวในการเทรดค่าเงิน พวกเขายึดติด และมัวแต่เพ่งหน้าจอในกราฟย่อยๆ ทำให้พวกเขามองไม่เห็นภาพรวมของตลาด ผมจะเทรดด้วยแนวคิดและแผนการที่มีความชัดเจนใน time frame เหล่านี้ โดย TF 1 วัน จะสามารถบอกเทรนของราคา ระดับราคาที่มีนัยต่อการกลับตัว แนวรับแนวต้าน ผมว่านี่คือสิ่งที่มือใหม่ควรจะเรียนรู้

หลักการพื้นฐานของกลยุทธ์ในการเทรดของคุณคืออะไร ?
Nial Fuller : ผมใช้ Price action ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เรียบง่าย ไม่มี indicators โดยทั่วไปผมจะเทรดตามเทรนร่วมกับการใช้ระดับของราคาที่มีนัยในการมองทิศทาง โดยใช้รูปแบบการกลับตัวของ Price action ในการ confirm สัญญาณการเข้า order
สิ่งที่ผมทำอยู่มันเป็นอะไรที่เรียบง่าย และระหว่างเทรดผมจะไม่เปลี่ยนแผนกลางคัน เพราะผมจะเชื่อมั่นในเหตุผลที่ผมเข้าเทรด โดยมันจะต้องมีเหตุผลหรือปัจจัยที่จะยืนยันสัญญาณการเข้าเทรด ซึ่งผมใช้ระดับราคาและแนวโน้มหลักในการยืนยันสัญญาณ price action โดยถ้ามันขัดแย้งกันผมก็จะไม่เทรด

คุณเทรดบ่อยแค่ไหน ?
Nial Fuller : ผมต้องขอบอกว่าเฉลี่ยแล้วผมจะเทรดประมาณ 3-4 ครั้งต่อหนึ่งอาทิตย์ ผมรู้ว่ามันฟังดูน้อยแต่เพราะผมต้องการรักษาวินัยในการเทรด ผมจึงหลีกเลี่ยงการเทรดที่มีสัญญาณ confirm ไม่ครบตามกฎของผม จริงๆแล้วมันก็มีโอกาสที่จะเข้าเทรดได้มากกว่านี้ แต่ด้วยประสบการณ์ในการเทรดของผมเกือบ 10 ปี ทำให้ผมพยายามกรองและเลือกเทรดเฉพาะในโอกาสที่มีความน่าจะเป็นมากที่สุด ในอดีต ผมเคยเทรดมากครั้งเกินไปและนั่นทำให้ผมสูยเสียเงินไปจำนวนมากโดยไม่จำเป็น ดังนั้นวันนี้ผมจึงพยายามเลี่ยงที่จะเสียต้นทุนค่าเรียนรู้เหล่านั้น

คุณ set เป้าหมายในการเทรดอย่างไรต่อสัปดาห์หรือต่อเดือน?
Nial Fuller : ผมไม่เชื่อว่าเราจะสามารถวางแผนได้จริงๆหรอกว่าเราสามารถทำเงินได้เท่าไรในแต่ละสัปดาห์หรือในแต่ละเดือน ผมว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่าคือเราต้อง focus ในแต่ละการเทรด ผมแค่พยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่ผมทำได้ เทรดเดอร์หลายคนอาจจะสามารถตั้งเป้ากำไรจากการเทรดของเขาในแต่ละสัปดาห์ แต่นั่นไม่ใช่ผม ผมแค่พยายามวางแผนและวางเป้าในแต่ละไม้ โดยเป้าของผมคือการเทรดที่มี risk/reward ratio = 2: 1 เป็นอย่างน้อยในแต่ละการเทรด

อะไรที่คุณคิดว่าทำให้คุณกลายเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ?
Nial Fuller : ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมได้พยายามตระหนักถึงเรื่องนี้เหมือนกัน ซึ่งผมได้พบว่าสิ่่งที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จในการเทรดนั้น มี 3 ปัจจัยด้วยกัน อย่างแรกก็คือ ผมมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตัวผม นั่นก็คือ การใช้ price action มันเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ซับซ้อนและผมสามารถเข้าใจมันด้วยเหตุผลง่ายๆ แต่ถึงแม้วิธีการเทรดจะสำคัญแต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด อีกปัจจัยคือการที่ผมเริ่มเขียน blog เริ่มเขียนบทวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มตลาด เผยแพร่การเดินทางในการเป็นเทรดเดอร์ของผมเป็นประจำ สิ่งนี้มันทำให้ผมมีวินัยและอยู่กับตลาดตลอดเวลา ส่วนปัจจัยสุดท้ายก็คือการที่ผมไม่เสพติดการเทรด ผมพยายามไม่ให้การเทรดมามีผลต่อวิถีชีวิตของผมมากเกินไป ผมจะไม่เฝ้าดูกราฟตลอดเวลา ผมจะเข้า order แล้วปล่อยให้มันวิ่งไปตามแผนการที่ผมวางไว้ จำไว้ว่าการเฝ้าดูกราฟมากเกินไปจะทำให้อารมณ์มามีผลต่อการเทรดในที่สุด

ขอบคุณ ::  Btrader

เล่นหุ้นไทยผ่านโบรกเกอร์ EXNESS

วิธีเลือกเล่นหุ้นไทยผ่านโบรกเกอร์EXNESS

1.ในช่องMarket Watchหุ้นไทยจะลงท้ายด้วยคำว่า SET เช่น #PTT-SET #DTAC-SET #KBANK-SET #KTB-SET #BANPU-SET จากภาพด้านล่าง คลิ๊กขวาเพื่อเรียกดูกราฟ#DTAC-SET




2.หากในช่องMarket Watchของท่านไม่ปรากฎหุ้นใดๆให้ท่านเลือกคลิ๊กขวาจากนั้นเลือกSymbols



3.เลือกSET จากนั้นคลิ๊กคำว่า Show



4.หุ้นไทยจะปรากฎในช่องMarket Watch คลิ๊กขวาบริเวณหุ้นที่ต้องการเทรด เลือกNew Orderเพื่อส่งคำสั่งซื้อหุ้นดังกล่าว



5.หุ้นไทยที่ท่านสามารถเทรดผ่านโบรกเกอร์EXNESSได้มีดังนี้


หุ้นไทยสามารถเข้าเทรดได้เฉพาะเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทยเปิดทำการเท่านั้น

วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

นักเทรดแบบ Price Action

นิสัยของนักเทรดแบบ Price Action ที่ประสบความสำเร็จ

นิสัย และ ตารางประจำวัน ของนักเทรดแบบ Price Action ที่ประสบผลสำเร็จ

การเทรดที่ประสบความสำเร็จ เป็นผลมาจาก การมีวินัย และการมีตาราง ที่เซ็ตไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นส่วนประกอบ ของนักเทรดฟอร์เร็กซ์ที่มีวินัย เราอาจจะเผลอ ไม่ทำตามกฏได้ง่ายมาก และ ทำให้ใช้อารมณ์มาติดสินใจ จนทำให้ เกิดความผิดพลาด ในฐานะเทรดเดอร์ คุณต้องหยุดเหตุการณ์เหล่านี้ให้ได้ โดยการเซ็ตตารางประจำวัน ที่คุณต้อง ปฏิบัติตามทุกวัน ตารางประจำวันจะช่วยเพิ่มความมีวินัย และทำให้คุณรักษาวินัยในการเทรด ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง มีความสำคัญ ต่อการพัฒนาจิตใจของคุณ และนำไปสู่กำไรระยะยาว อย่างแท้จริง ถ้าคุณยังไม่ได้เซ็ตตารางประจำวัน ที่ใช้ในการเทรด คุณต้องเริ่มพัฒนาขึ้นมาซักชุดหนึ่ง แล้วตลาดจะไม่สามารถ ทำอันตรายกับบัญชีเทรดคุณได้ ยิ่งคุณสามารถทำตามตารางการเทรดได้ตามจุดประสงค์ ที่สัมพันธ์กับตลาด คุณก็จะเผชิญกับ การใช้อารมณ์ในการเทรด น้อยลงเท่านั้น

• กำหนดเวลาดูหน้าจอที่แน่นอนในแต่ละวัน
หน้าที่อย่างแรก ในแต่ละวันของนักเทรดแบบ Price Action คือ ต้องรู้ว่า เมื่อไหร่คุณ ควรจะวิเคราะห์ตลาด คุณต้องใส่ใจกับงาน และ หน้าที่การงาน งานประจำของคุณ เช่นเดียวงานประจำในครอบครัว ถ้าคุณพบว่า เวลาที่คุณมี พอที่จะดูหน้าจอได้ นั่นก็คือ เวลาก่อนนอน คุณก็สมควรจะใช้เวลานั้น ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ ที่เรา ควรใช้ดูตลาด ก็คือ ราว 4 - 5 โมงเย็น (หมายถึงเวลา สหรัฐฯ) ซึ่งเป็นเวลาเปิดของตลาดยุโรป ตอนนี้ คุณจะ อยู่ถึงตีหนึ่ง - ตีสองก็ไม่มีใครว่า แต่คุณต้องวิเคราะห์ตลาด ในเวลานี้ทุกวัน

เมื่อเลือกแล้วว่า ช่วงเวลาไหนที่คุณสามารถใช้เวลาดูกราฟได้ ควรจะเลือกว่า คุณต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ในการ วิเคราะห์ ในการเทรดแบบ Price action หรือ ใช้ในการดูว่า ออร์เดอร์ที่คุณเปิดก่อนหน้า เป็นอย่างไร การกำหนด เวลา ในการเฝ้าดูหน้าจอ มีส่วนสำคัญมากในการฝึกใจ และ ความสำเร็จในการเทรด เทรดใน Time Frame daily ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความกดดันมากนัก และ เป็น Time Frame ที่ได้ผลดีด้วย เมื่อคุณเริ่มมีทักษะในการเทรด แบบ price action คุณก็สามารถดูคู่เงินแต่ละคู่ ที่เทรดในช่วงเวลาที่กำหนดได้ ถ้าหากว่าคู่ที่คุณกำลังดูอยู่ ไม่มี การเกิดรูปแบบที่คุณตั้งไว้ คุณก็ไปเทรดคู่อื่น ๆ ถ้าคุณไม่เจอรูปแบบที่คุณอยากจะเทรด ก็ไม่ควรจะเทรดในวันนั้น เพราะ ถ้าขืนคุณยังดื้อดึง คุณจะเจ็บตัว และไม่ประสบความสำเร็จในฐานะนักเทรดในระยะยาว เพราะคุณจะเริ่ม วิเคราะห์มากเกินไป แล้วพยายามหาเหตุผลในการเทรดตลอดเวลา คุณจะรู้ว่ามันจะทำให้เสียเงินได้

• ทำตามแผนการเทรดแบบ Price Action
ถ้าคุณคือ นักเทรดแบบ Price Action คุณจะรู้ว่า คุณกำลังมองหารูปแบบกราฟแบบไหนอยู่แต่ละวันในตลาด เมื่อคุณรู้ ก็ควรจะเขียนลงไป และกำหนดแผนการเทรดที่คุณกำลังจะเข้าเทรดในแต่ละวันกับเวลาที่คุณมี ถ้าไม่สามารถกำหนดแผนที่เป็นตัวตน คุณควรจะรีบวางแผนอะไรไว้ได้แล้ว ท่องในใจตลอดว่า ต้องทำตามแผน การเทรดทุกวัน อ่านทุกวัน แผนการที่ชัดเจนควรจะมี จุดเข้า จุดออก กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง และมีเป้าหมาย ระยะยาว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญ ในแผนการเทรดที่ควรมีไว้เป็นอย่างน้อย

ตามเป้าหมายของแผนการเทรดของคุณ ทำให้คุณทำตามแผนได้อย่างแน่นอนในแต่ละวัน ช่วยให้มีสมาธิ ยังเป็น แนวทางในแต่ละวันให้คุณในการวิเคราะห์ตลาด การวิเคราะห์ตลาดจะต้องเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งนักเทรดส่วนใหญ่ ไม่มีขั้นตอนในการวิเคราะห์ หรือ ไม่มีตาราง ซึ่งจะนำไปสู่การเทรดแบบไม่มีแบบแผน แล้วคุณจะสามารถเป็น นักเทรดที่มีวินัย และวิเคราะห์เป็นขั้นเป็นตอนได้อย่างไร? ถ้าคุณไม่มี แม้กระทั่งแผนการว่า คุณกำลังทำอะไรอยู่ พวกวิศวะกรสร้างบ้านโดยไม่มีพิมพ์เขียวหรือ? ไม่ แน่นอน มันจะพังทลาย และไม่แข็งแรง และแน่นอน ทุก ๆ คนที่พยายาม อยากจะเป็นนักเทรดฟอร์เร็กซ์มืออาชีพ ถึงรู้สึกว่าแผนการเทรดนั้น สำคัญขนาดไหน การกระทำต่าง ๆ ในลักษณะนิสัยที่เป็นขั้นเป็นตอน กับตลาดที่ไม่สามารถควบคุมได้ อย่างตลาดฟอร์เร็กซ์นั้น เป็นหัวใจ ในการทำกำไร ไม่มีพื้นที่สาหรับคำว่าโชค ในหน้าพจนานุกรมการเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จระยะยาว และ การเป็นนักเทรดมืออาชีพ ก็ไม่ต้องอาศัยโชค เพราะว่าสิ่งที่เราต้องมี คือ แผนการเทรด

• บันทึกการเทรด
การบันทึกการเทรดนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ที่คุณอาจจะไม่เคยคิดถึงมันเลย ในหนังสือที่สอนเกี่ยวกับการเทรด หลาย ๆ เล่ม มักจะพูดถึงการบันทึกการเทรด และกล่าวว่า คุณควรจะเขียน แม้กระทั่งว่าคุณใช้ค่าอะไรบ้าง ในการเทรด เพื่อที่จะวิเคราะห์ได้ว่า ทำไมคุณถึงผิด ทำไมคุณถึงถูก และขณะที่กำลังบันทึกข้อมูลเหล่านี้ ผมรู้สึกว่า ผมลืมอะไรไปอย่าง การประสบความสำเร็จในการเทรดนั้นขึ้นอยู่กับว่า จัดการกับอารมณ์ของคุณได้ดีขนาดไหน คุณค่าที่แท้จริงของการทำบันทึกประจาวัน ที่ให้คุณได้คือ การประเมินว่า คุณรู้สึกอย่างไรในแต่ละวันที่คุณเทรด เกี่ยวกับกิจกรรมการเทรดของคุณ และยังเป็นแบบประเมินสถานะอารมณ่ของคุณ แต่ละวันด้วย

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ที่คุณจะต้องเขียนว่า คุณรู้สึกอย่างไรก่อนการเทรด และ หลังการเทรด เขียนลงไปด้วย ถ้าคุณกำไรแล้วคุณรู้สึกอย่างไร คุณขาดทุนแล้วคุณรู้สึกอย่างไร สิ่งนี้จะให้คุณสองอย่าง คือ มันจะช่วยให้คุณ ทำทุกอย่าง ไปในทิศทางที่ถูกต้อง หลังจากที่คุณปิดออร์เดอร์ไปแล้ว ซึ่งมันจะทำให้คุณมีจิตใจนิ่งมากยิ่งขึ้น จากการที่คุณได้กำไร หรือ ขาดทุนก้อนใหญ่ และยังป้องกันไม่ให้คุณกระโดดเข้าไปในตลาด โดยทันทีด้วย และนอกจากนี้ มันจะทำให้คุณมองภาพออกว่า อารมณ์นั้นผูกติดอยู่กับความสำเร็จในการเทรดได้อย่างไร ถ้าคุณ ซื่อสัตย์ในการเขียนบันทึก คุณจะเริ่มเห็นว่า ยิ่งคุณใช้อารมณ์ในการเทรด ยิ่งจะทำให้คุณเสียเงินมากขึ้น มันเป็น ความแปรผันกัน ระหว่างอารมณ์กับเงิน ในการเทรดฟอร์เร็กซ์ ของคุณ

สิ่งอื่น ๆ ที่ควรจะบันทึกในบันทึกการเทรดของคุณอีกก็คือ คุณสามารถเขียน (หรือพิมพ์) สรุปภาวะตลาดประจำวัน ซึ่งนี่จะทำให้คุณเข้าใจสภาวะตลาด สภาวะเศรษฐกิจ หรือ ข่าวที่ออกมา และทำให้คุณระวังในสิ่งที่จะเกิด ในตลาด มากขึ้น มันจะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาในแต่ละวัน และยังทำให้มอง ภาพรวมตลาดออก ถ้าคุณต้องทำธุระ และไม่ได้เทรด ซักหนึ่งสัปดาห์ เมื่อคุณกลับาแล้วอย่ารีบเทรดทันที ให้คุณทำการบันทึกสรุป สภาวะตลาด ไปซักหนึ่งอาทิตย์เสียก่อน แล้วคุณจะเข้าใจและรู้สึกถึง กระแสน้ำ และกระแสการไหลของราคา เพราะการเข้าใจทิศทางของราคา มีความสำคัญมาก

• ทำจิตใจ และร่างกายให้สะอาด ดีกว่าเอาเวลาไปนั่งเฝ้าหน้าจอเพิ่ม
อย่างที่ได้เกริ่นมาก่อนหน้า การใช้เวลาในการวิเคราะห์ตลาดมากเกินไป จะทำให้คุณมีผลตรงกันข้าม ถ้าคุณพบว่า มีเวลาว่าง และอยากจะใช้เวลาเหล่านั้นในการดูกราฟ คิดว่าคุณควรจะใช้ทำงานอดิเรกดีกว่า การออกกำลังกาย จะช่วยให้คุณ ทำตามตารางชีวิตประจำวันของคุณได้ และมันจะทำให้คุณรู้สึกดีทั้งจิตใจ ทั้งร่างกายอีกด้วย การใช้เวลาในการออกกำลังกายนั้น ย่อมดีกว่า การใช้เวลาเพิ่มในการวิเคราะห์ตลาด คุณจะสามารถควบคุมตัวเอง ได้ ไม่ใช่ให้ตลาดมาควบคุมคุณ ถ้าคุณยังมีเวลาเหลือจากการออกกำลังกาย ก็ให้คุณอ่านหนังสือ เพื่อช่วยเปิด โลกทัศน์ มันไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเทรดเสมอไป คุณสามารถอ่านอะไรก็ได้ ที่ช่วยออกกำลัง สมอง ของคุณ และทำให้สมองตอบสนองได้ดี จำไว้ว่า ตารางประจาวันของคุณ เป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จ ระยะยาวในตลาด อย่าดูถูกมัน การเทรดฟอร์เร็กซ์ เป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง และ คุณก็ควรทำเหมือนกับ การประกอบ ธุรกิจ เช่นกัน ภายใต้ตารางที่แน่นอน และ เคร่งครัด ไม่แตกต่างกัน กับการเทรดฟอร์เร็กซ์

กฎ 10 ข้อเพื่อการเทรด Forex ให้ได้กำไร



"กฎ 10 ข้อเพื่อการเทรด Forex ให้ได้กำไร" เป็น 10 ข้อที่ดีมากสำหรับ Technical Analysis

คือ ถ้าเราสามารถทำตามนี้ได้นั้น ผมเชื่อว่าอย่างน้อยๆ เราแทบจะไม่ขาดทุน หรืออาจจะกำไรด้วยซ้ำไปครับ ขอแค่อย่าพยายาม "เดา" เอาเองว่ามันน่าจะขึ้น หรือมันน่าจะลงครับ ให้เราดูจากสัญญาน Indicators และก็อีกหลายๆ อย่างใน 10 ข้อนี้เป็นตัวชี้นำ หรือแนวทางครับ (เพราะหลายๆ ครั้งที่ ติดลบตัวแดง หรือขาดทุน ส่วนใหญ่ผมเชื่อว่าน่าจะมาจากการตัดสินใจในการ "เดา" เอาเองของเรามากกว่า โดยไม่รอสัญญานจาก Indicators และอีกหลายๆ อย่างประกอบครับ)

กฎ ทั้ง10 ข้อนี้ เป็นหลักการสำคัญสำหรับผู้ที่ใช้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการลงทุน เพราะหากไม่มีหลักการดังกล่าวแล้ว เราก็จะไม่สามารถกำหนดการซื้อขายที่เป็นรูปแบบได้ ซึ่งในกฎเหล่านี้จะพูดถึงการวิเคราะห์แนวโน้ม , หาจุดกลับตัว, ติดตามค่าเฉลี่ย, มองหาสัญญาณเตือน และอื่นๆ หากท่านสามารถเข้าใจและ ปฎิบัติตามหลักการเหล่านี้ได้ผมเชื่อว่าท่าน ก็สามารถเอาตัวรอด ด้วยการลงทุนโดยใช้หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้ครับ

มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ

1. ตามแนวโน้ม

ศึกษากราฟระยะ ยาว เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์กราฟรายเดือน และรายสัปดาห์ ด้วยการดูย้อนหลังหลายปี โดยการทำแบบนี้ จะทำให้มีมุมมอง ระยะยาว ต่อตลาดได้ดีขึ้น ขณะที่ศึกษากราฟระยะยาวจบแล้ว ควรศึกษากราฟรายวัน และกราฟเทรดภายในวัน การดูกราฟระยะสั้นเพียงอย่างเดียว อาจทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิดได้ แม้ว่าคุณจะทำการซื้อขาย ในระยะที่สั้นมากๆ ก็ตาม คุณจะซื้อขายได้กำไรมากขึ้น ถ้าคุณซื้อขายในทิศทางเดียวกับแนวโน้มระยะกลาง และระยะยาว...

2. พุ่งเป้าไปที่แนวโน้ม และไปกับมัน

ตัดสิน แนวโน้ม และซื้อขายตามแนวโน้มตลาด แนวโน้มตลาดแบ่งเป็น 3 รูปแบบคือ ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว เริ่มแรก ควรที่จะใช้กราฟก่อนที่จะเทรด คุณต้องแน่ใจก่อนว่า คุณทำตามทิศทางเดียวกับในแนวโน้มตลาด ซื้อเมื่อแนวโน้มขึ้น ขายเมื่อแนวโน้มลง ถ้าคุณเทรดในระยะกลาง ควรใช้กราฟวัน และรายสัปดาห์ ถ้าคุณเดย์เทรด ควรใช้กราฟวัน และกราฟการซื้อขายภายในวัน แต่ในแต่ละกรณี ควรใช้กราฟระยะยาว ตัดสินแนวโน้ม และใช้กราฟระยะสั้น ตัดสินช่วงจังหวะเวลาซื้อขาย...

3. หาจุดต่ำสุด และสูงสุดของมัน

หาระดับแนวต้าน (Resistance) และแนวรับ (Support) ตำแหน่งที่ดีสำหรับการซื้อคือ ซื้อใกล้กับแนวรับ โดยที่แนวรับนั้น ใกล้เคียงกับจุดต่ำสุดของเดิม ตำแหน่งที่ดีสำหรับการขายคือ ใกล้เคียงกับแนวต้าน (ตีความได้ว่า น่าจะไม่ใช่ที่แนวต้านพอดี) แนวต้านปรกติแล้ว คือจุดสูงสุดเดิม หลังจากผ่านแนวต้านไปได้จะทำให้เกิดแนวรับใหม่ตรงจุดที่ผ่านไป หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า ราคาตรงแนวต้านที่ผ่านไป จะเป็นราคาต่ำสุดใหม่ (แนวรับในอนาคต) ในอีกขณะ ที่เมื่อแนวรับถูกทำลาย ราคาตรงตรงนั้นจะกลายเป็น จุดสูงสุดใหม่ (แนวต้านในอนาคต)...

4. เราจะมองย้อนหลังกลับไปอย่างไร

เราจะใช้การวัดเปอร์เซนต์ Retracement การที่ตลาดขึ้นหรือลง โดยปรกติจะเป็นสัดส่วนจาก แนวโน้มเดิม

(คำแนะนำทางทฤษฎี : คุณสามารถวัดการเปลี่ยนแปลงได้จากแนวโน้มที่เป็นอยู่ ในรูปแบบของ % ง่ายๆ 50% Retracement ในแนวโน้มหลัก ถือเป็นระดับปรกติ ระดับน้อยที่สุด คือ 1 ใน 3 ของแนวโน้มหลัก ระดับมากที่สุดคือ 2 ใน 3 ของแนวโน้มหลัก Retracement แบบ Fibonacci ระดับ 38.2% และ 61.8% ก็น่าสนใจ ในขณะที่เปลี่ยนเป็นแนวโน้มขึ้น จุดซื้อควรเป็นระดับที่ 33-38%)...

5. ลากเส้น

วาด เส้นแนวโน้ม (Trendline) เส้นแนวโน้มเป็นหนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุด และมีประสิทธิภาพที่สุดในเครื่องมือแบบกราฟ สิ่งที่คุณต้องการคือ เส้นตรง 1 เส้น และจุดสองจุดบนกราฟ เส้นแนวโน้มขึ้นลากจาก จุดต่ำสุด 2 จุด เส้นแนวโน้มลง ลากจากจุดสูงสุด 2 จุด ราคามักจะถูกดึงกลับไปที่เส้นแนวโน้ม ก่อนที่จะไปตามแนวโน้มต่อไป โดยการขึ้นลงผ่านเส้นแนวโน้มนั้น ปรกติจะถือว่าเป็นการเปลี่นแนวโน้ม เส้นแนวโน้มที่ใช้ได้ มักจะถูกทดสอบอย่างน้อย 3 ครั้ง เส้นแนวโน้มระยะยาว จะมีประสิทธิภาพมาก และยิ่งจำนวนครั้งที่ถูกทดสอบมีมากเท่าไหร่ ความสำคัญก็จะยิ่งมีมากขึ้น...

6. ตามค่าเฉลี่ย

ค่า เฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) จะให้สัญญาณเป้าหมาย ซื้อและขาย ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะบอกคุณว่า แนวโน้มยังอยู่ในแนวโน้มเดิม และช่วยในการทำให้แน่ใจถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม แม้ว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะไม่สามารถบอกคุณถึงอนาคตล่วงหน้าได้ อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแนวโน้มตามค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ถือว่าเป็นสิ่งที่น่า สนใจ การผสมผสานของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 2 ค่า เป็นวิธีการที่เป็นที่นิยมมาก สำหรับใช้หาสัญญาณซื้อ และสัญญาณขาย การผสมผสานสัญญาณซื้อ-ขาย ที่เป็นที่นิยมกันคือ 4 กับ 9 วัน , 9 กับ 18 วัน , 5 และ 20 วัน จะให้สัญญาณเมื่อ เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น ตัดค่าเฉลี่ยระยะยาวกว่า ตัวอย่างเช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 4 วัน (ระยะสั้น) ตัดเส้นค่าเฉลี่ย 9 วัน (ระยะยาวกว่า) ขึ้น หมายถึงสัญญาณซื้อ เมื่อราคาตัดสูงขึ้น (สัญญาณซื้อ) หรือต่ำกว่า (สัญญาณขาย) ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 40 วัน ถือว่าเป็นสัญญาณซื้อขายที่ดี โดยที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะเป็นตัวชี้การเป็นไปตามแนวโน้ม ซึ่งวิธีการใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เหล่านี้จะดีที่สุดใน ตลาดที่มีแนวโน้มอย่างชัดเจน...

7. เรียนรู้การเปลี่ยนแนวโน้ม

ตรวจ ดูเครื่องมือ Oscillators ต่างๆ เครื่องมือ Oscillators นั้น ช่วยในการหาตลาดที่เกิดภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และตลาดที่เกิดภาวะขายมากเกินไป (Oversold) ขณะที่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ให้ความแน่ใจในการเปลี่ยนแนวโน้มตลาด เครื่องมือ Oscillators จะเป็นตัวบอกว่าตลาดจะขึ้นหรือลงมากขึ้น หรือจะกลับตัวในไม่ช้า ที่เป็นที่นิยมมากคือ Relative Strength Index (RSI) และ Stochastics ทั้งสองค่านี้เป็นที่นิยมใช้ในสเกล 0 ถึง 100 ค่า RSI ที่มีค่ามากกว่า 70 ถือว่าเป็นภาวะที่ซื้อมากเกินไป (Overbought) ขณะที่ถ้าอ่านค่าได้ต่ำกว่า 30 ถือเป็นภาวะที่ขายมากเกินไป (Oversold) การซื้อหรือขายมากเกินไป สำหรับ Stochastic คือ 80 และ 20 คนส่วนใหญ่นิยมใช้ค่า 14 วัน หรือสัปดาห์ สำหรับ Stochastic และ 9 หรือ 14 วัน หรือสัปดาห์ สำหรับ RSI เมื่อตัว Oscillator เกิด Divergence บ่อยครั้ง จะแสดงถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม เครื่องมือต่างๆ เหล่านี้ ใช้ได้ดีสุดในตลาดที่ไม่มีแนวโน้ม (Sideway) สัญญาณรายสัปดาห์จะใช้กรองสัญญาณรายวัน สัญญาณรายวันสามารถใช้ในการกรองสัญญาณภายในระหว่างวัน...

8. เรียนรู้ สัญญาณเตือน

Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นการรวมระบบการตัดกันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ด้วยการวัดระดับภาวะซื้อเกินไป (Overbought) และขายเกินไป (Oversold) สัญญาณซื้อจะเกิดขึ้นเมื่อ สัญญาณที่เร็วกว่าตัดสัญญาณที่ช้ากว่า และเส้นทั้งสองเส้นต่ำกว่า 0 สัญญาณขายคือ สัญญาณที่ช้ากว่าตัดสัญญาณที่เร็วกว่า และค่าทั้งสองค่า มากกว่า 0 สัญญาณรายสัปดาห์ถือว่ามีความสำคัญเหนือกว่า รายวัน MACD Histogram วาดความแตกต่างระหว่าง 2 เส้น และให้การเตือนก่อนถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม มันถูกเรียกว่า Histogram เนื่องจากระดับความสูงของแท่ง แสดงถึงความแตกต่างระหว่าง 2 เส้นบนกราฟ...

9. มีแนวโน้ม หรือไม่มีแนวโน้ม

ใช้ Average Directional Movement Index (ADX) ใช้เส้น ADX ช่วยให้ตัดสินใจได้ว่าตลาดในขณะนั้นมีแนวโน้ม หรือไม่มีแนวโน้ม มันวัดถึงระดับการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม และทิศทางของตลาด การเพิ่มขึ้นของเส้น ADX ชี้ให้เห็นถึงการมีแนวโน้มที่มากขึ้น การลดลงของ ADX ชี้ให้เห็นถึงการที่ตลาดไม่มีแนวโน้ม การเพิ่มของ ADX แสดงให้เห็นว่า ควรใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นตัวชี้วัด การลดลงของ ADX แสดงให้เห็นว่า ควรใช้ค่า Oscillators ด้วยการลากทิศทางของเส้น ADX ผู้ซื้อขายสามารถตัดสินใจระหว่าง สไตล์ในการซื้อขาย และอะไรเป็นตัวชี้วัดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับภาวะในตลาดในขณะนั้น...

10. เรียนรู้ถึงการสนับสนุนสัญญาณการซื้อขาย

ปริมาณ การซื้อขาย (Volume) สิ่งที่สนับสนุนสัญญาณการซื้อขายนั้น ประกอบด้วยปริมาณการซื้อขายรวม และปริมาณการซื้อขายขณะเปิดทำการ เป็นสิ่งที่สนับสนุนสัญญาณการซื้อขายในตลาดล่วงหน้า ปริมาณการซื้อขายรวมมีความสำคัญมาก่อนราคา ปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นจะทำให้เชื่อได้ว่าชักจูงสู่แนวโน้ม ในขณะที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ปริมาณการซื้อขายรวมควรมากขึ้น การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายขณะเปิด เป็นสิ่งที่สนับสนุนว่า เงินใหม่ได้เข้ามาสู่ หรือชักจูงเข้ามาสู่แนวโน้ม การที่ปริมาณซื้อขายขณะเปิดลดลงบ่อยครั้ง จะเป็นการเตือนว่าแนวโนมโน้มใกล้จบลง ราคาที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ควรมีทั้งปริมาณการซื้อขายรวมที่มากขึ้น และปริมาณการซื้อขายขณะเปิดทำการ...

หลัก 9 ข้อในการเทรด Divergence

การเทรดโดยใช้หลักการดู Divergence เป็นวิธีการเทรดอีกอย่างหนึ่งซึ่งสามารถทำกำไรได้เป็นกอรปเป็นกำในแต่ละครั้งที่คุณพบเจอ เพราะนั่นจะหมายถึงการเปลี่ยนเทรน และ Divergence ก็เป็นสัญญาณเตือนคุณได้อย่างดีว่า เทรนกับลังจะเปลี่ยนไป
เครื่องมือส่วนใหญ่ที่เราจะใช้ในการดู Divergence ก็จะเป็นพวก Oscillator ต่างๆ และที่นิยมใช้กันมากในการดู Divergence ได้แก่ MACD , Stochastic และ RSI เป็นต้น แต่ก่อนอื่นเราลองมาดูหลักในการดู Divergence กันก่อนว่ามีอะไรบ้าง เพื่อที่จะช่วยให้เราไม่พลาดในการเลือกหาจุดเข้าทำกำไร
1. ต้องแน่ใจว่าคุณเห็น Divergence จริงๆ ซึ่งถ้ามี Divergence ราคามักจะมีรูปแบบดังต่อไปนี้ คือ
  • >> ระดับสวิงไฮของราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่าสวิงไฮก่อนหน้า (Higher High :HH)
  • >> ระดับสวิงโลว์ของราคาที่ปรับตัวต่ำกว่าสวิงโลว์ก่อนหน้า (Lower low :LL)
  • >> Double top
  • >> Double  bottom
อย่าเพิ่งมองที่ Indicator จนกว่าคุณจะเห็นว่าราคามีลักษณะดังที่กล่าวมาอย่างน้อยหนึ่งอย่าง และถ้าไม่มีลักษณะดังกล่าวมาเลยแล้ว ก็หมายความว่าไม่มีการเกิด Divergence ดังนั้น อย่าคิดเอาเองว่าเกิด Divergence ถ้าไม่เห็นลักษณะของราคาดังกล่าว

 หลัก 9 ข้อในการเทรด Divergence

2. ให้ลากเส้นระหว่างจุดสูงสุด และ จุดต่ำสุด และหลังจากที่คุณเห็นลักษณะบางอย่างของราคาล่าสุดแล้ว ตอนนี้คุณเห็นแค่ลักษณะ 1 อย่างของ สี่อย่างต่อไปนี่คือ  จุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าจุดสูงสุดเดิม (Higher high), จุดสูงสุดใหม่เท่ากับจุดสูงสุดเดิม (Flat high), จุดต่ำสุดใหม่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดเดิม (Lower low), จุดต่ำสุดใหม่เท่ากับจุดต่ำสุดเดิม (Flat low)
ที่นี้ก็ลากเส้นจากจุดสูงสุดในปัจจุบันไปหาจุดสูงสุดก่อนหน้า และอีกกรณีก็คือลากจากจุดต่ำสุดในปัจจุบัน กลับไปหาจุดต่ำสุดก่อนหน้า ซึ่งมันจะต้องเป็นสวิงที่สำคัญต่อเนื่องกัน และถ้าคุณเห็นว่าระดับความเหลื่อมล้ำของทั้งสองจุดมีน้อยมากก็ไม่ต้องไปสนใจมัน ลืมไปได้เลย

3. ถ้าเห็นสวิงมีระดับที่เหลือมล้ำกันมากๆ ลากเส้นระวห่างสวิงไฮหรือสวิงโลว์  เมื่อคุณเห็นว่าสวิงไฮ 2 สวิงล่าสุดมีระดับที่เหลื่อมล้ำกันมากๆ ก็ให้คุณลากเส้นระหว่างสวิงทั้งสอง และในกรณีที่เป็นสวิงโลว์สองสวิง ก็ให้ลากเส้นเชื่อมต่อระหว่างสองสวิงนั้นเช่นกัน
อย่าพยายามลากเส้นที่ระดับต่ำสุดหากคุณเห็นว่า สวิงไฮได้ทำจุดสูงสุดใหม่ 2 รอบ (Higher high) เพราะนั่นมันจะหมายถึงว่าราคายังอยู่ในเทรนขาขึ้น

 หลัก 9 ข้อในการเทรด Divergence

4. เปรียบเทียบระหว่างราคาและ Indicator เมื่อคุณลากเส้นเชื่อมต่อระหว่างสองจุดของสวิงไฮ หรือสวิงโลว์แล้ว ตอนนี้ก็มาดูที่ Indicator และเปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวของราคา ไม่ว่าเราจะใช้ Indicator ชนิดไหนก็ตาม จำไว้ว่าเรากำลังเปรียบเทียบยอดสวิงไฮ และสวิงโลว์ของ Indicator ดับราคา

 หลัก 9 ข้อในการเทรด Divergence

5. ถ้าคุณลากจุดระหว่างจุดเชื่อมต่อระหว่างสวิงไฮสองจุดของราคาแล้ว คุณก็ต้องลากเส้นที่จุดสูงสุดสองจุดของ Indicator ด้วย และทำเช่นเดียวกันในกรณีที่เป็นสวิงโลว์ ถ้าคุณลากเส้นเชื่อมต่อระหว่างสองสุดของสวิงโลว์แล้ว คุณก็ต้องลากเส้นเชื่อมต่อระหว่างสองจุดต่ำสุดใน Indicator ด้วย

หลัก 9 ข้อในการเทรด Divergence
6. เมื่อเทียบในแนวตั้ง ตรงจุดสูงสุดหรือต่ำสุดที่คุณระบุใน Indicator ต้องเป็นแนวเดียวกันกับที่คุณระบุราคา

 หลัก 9 ข้อในการเทรด Divergence

7. ดูที่ความลาดชัน เพราะ Divergence จะเกิดขึ้นต้องมีความขัดแย้ง หรือมีความลาดชันที่แตกต่างกันของเส้นที่เชื่อมระหว่างจุดสูงสุด หรือ ต่ำสุดสองจุด ใน Indicator และเส้นที่เชื่อมระหว่างสวิงไฮหรือสวิงโลว์ของราคา และความลาดชันจะต้องเป็นอย่างได้อย่างหนึ่ง ระหว่าง เอียงขึ้น (Ascending (rising) เอียงลง(Descending (falling)  หรือเป็นเส้นราบขนานกับพื้น (Flat)

หลัก 9 ข้อในการเทรด Divergence


8. ถ้าคุณตกรถแล้วก็ไม่ต้องรีบ เมื่อคุณเห็นว่า Divergence ได้เกิดขึ้นแล้ว ราคาก็กลับตัวไปได้ซักระยะหนึ่งแล้ว ก็ควรจะเป็นช่วงที่น่าจะพิจารณาว่าจะปิดทำกำไร และถ้าคุณพลาดไม่ได้เข้าตั้งแต่ที่แรก คุณก็พลาดโอกาสไปแล้วและไม่ควรรีบร้อนเปิดออเดอร์ในตอนนี้ แต่คุณควรรอให้ราคาฟอร์มตัวทำสวิงไฮหรือสวิงโลว์ใหม่ และค่อยมองหา Divergence ในครั้งต่อไป

หลัก 9 ข้อในการเทรด Divergence

9. สัญญาณ Divergence ในกรอบราคาใหญ่ๆจะมีแนวโน้มที่แน่นอนมากกว่าในกรอบเวลาที่เล็กกว่า ให้สัญญาณที่ผิดพลาดน้อยกว่า เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยสนใจตรงนี้ แต่ถ้าเราใส่ใจกับมันซักหน่อยก็อาจทำให้เราได้เปรียบในการทำกำไรมากขึ้น
Divergence ในกรอบเวลาที่เล็กกว่าจะเกิดขึ้นบ่อยกว่าแต่มีความน่าเชื่อถือน้อยกว่า เทรดเดอร์บางคนอาจจะมองหา Divergence ใน กรอบเวลาอย่าง 15 นาทีหรือน้อยกว่านั้น แต่มันจะมีสัญญาณรบกวนที่มากเกินไป เราจึงขอแนะนำให้มองเฉพาะ Divergence ในกรอบราคา 1 ชั่วโมงขึ้นไป



Credit:http://www.thaiforexschool.com

4 ความผิดพลาดซ้ำซากในการเทรด


ข้อที่ 1: เทรดโดยไม่มีหลักการ
“ถ้าคุณไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงซื้อหุ้นตัวนั้น คุณก็จะไม่รู้ว่าควรขายมันตอนไหน ซึ่งนั่นมักจะทำให้คุณขายหุ้นทิ้งตอนที่ราคาของมันทำให้คุณกลัว ทั้งๆที่โดยส่วนมากแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณกลัวราคาหุ้นในขณะนั้น มันคือโอกาสซื้อ ไม่ใช่จุดบ่งชี้ว่าคุณควรขายมันทิ้ง”
– Martin Taylor –
ถ้าคุณไม่มีจุดยืน คุณก็ไม่มีแก่นหรือสิ่งใดให้ยึดถือปฏิบัติ ถ้าคุณไม่มีเป้าหมายว่าจะไปที่ใด คุณก็ไม่มีวันไปถึงจุดหมาย… จงกำหนดหลักการ วางแผนการลงทุน และทำตามแผนที่คุณวางไว้เสมอ เพราะถ้าคุณไม่มีแผนการของตนเอง คุณก็จะต้องตกอยู่ในแผนการของคนอื่น

ข้อที่ 2: เข้าซื้อหุ้นไม้ใหญ่เกินไป (Trading too big)
“นักลงทุนมักจะให้ความสำคัญเกือบทั้งหมดไปที่จุดเข้าซื้อ (entry price) ทั้งๆที่โดยส่วนมากแล้ว ขนาดของ lot  (entry size ) ในแต่ละครั้งมีความสำคัญกว่าจุดเข้าซื้อ เพราะหาก entry size แต่ละครั้งใหญ่มากเกินไป เวลาที่ราคาปรับตัวลงอย่างไม่มีนัยสำคัญ มันก็มักจะทำให้คุณกลัวและอกออเดอร์ก่อนทั้งที่ยังมีแนวโน้มดีนั้นทิ้งไป ดังนั้น ยิ่งขนาดของ lotใหญ่มากไปเท่าไร ความกลัวจะเข้ามาครอบงำการตัดสินใจของคุณ แทนที่จะตัดสินใจจากแผนการและประสบการณ์ที่พิจารณาอย่างดีแล้ว”
– Steve Clark –
การเทรดครั้งเดียวใน lot ที่ถือว่ามีสัดส่วนที่เยอะของพอร์ต จะทำให้คุณขายหมูเพราะความกลัวของคุณ ไม่ใช่เพราะระบบลงทุนของคุณบอกให้ขาย ดังนั้น ก่อนที่จะเทรด คุณควรกำหนดจำนวนเงินที่คุณสามารถยอมรับขาดทุนได้ให้อยู่ในระดับที่ไม่เสี่ยงมากไป ตัวอย่างเช่น เงินในพอร์ตมี 1000$ คุณยอมรับขาดทุนได้ 200$/ครั้ง โดยที่จุดตัดขาดทุนของคุณคือ เมื่อราคาทะลุแนวต้านล่าสุดของเมื่อวานไป

ข้อที่ 3: ซื้อขายมากเกินไป (Overtrading)
การที่เราจะเทรดบ่อยขนาดไหนนั้นขึ้นอยู่กับแนวทางการลงทุนของเรา แต่ไม่ว่าคุณจะใช้แนวทางลงทุนแบบไหนก็ตาม การซื้อขายน้อยครั้งย่อมดีกว่าเสมอ (less is more) อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดไป เพราะไม่ว่าคุณจะทำการบ้านหรือเตรียมตัวมาอย่างดีแค่ไหนก็ตาม แต่กราฟนั้นก็มักจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอยู่บ่อยๆ ดังนั้น คุณควรจะมีไอเดียหรือกราฟที่จะเลือกลงทุนมากกว่า 1 ตัวอยู่เสมอ แต่การที่คุณซื้อๆขายๆในค่าเงินทุกตัวที่เกิดสัญญาณ ทำให้เงินลงทุนและพลังงานของคุณถูกกระจายออกไปในกราฟหลายตัวมากจนเกินไปนั้น คงไม่ใช่การตัดสินใจที่ฉลาดนัก
คุณควรยึดมั่นอยู่กับสิ่งที่คุณรู้และเข้าใจ เลือกใช้วิธีการที่คุณทำแล้วได้ผล อย่าหลงไปตามกระแสข่าวลือหรือการลงทุนที่คุณไม่ได้เปรียบ และหลีกเลี่ยงการลงทุนใดๆก็ตามที่คุณไม่ได้มีความเข้าใจในสิ่งนั้นเลยแม้แต่น้อย
ในบางครั้ง การเทรดที่ดีที่สุดก็คือ การไม่เทรดเลย และตั้งมั่นอยู่ระบบที่เราถือ ผมรู้ดีว่าในช่วงตลาดกระทิงดุนั้น มันมีสิ่งที่เย้ายวนใจมากที่จะทำให้คุณเทรดบ่อยครั้ง เมื่อกราฟเกือบทุกตัวขึ้นไปทะลุ High เดิม คุณรู้สึกเหมือนเด็กที่อยู่ในร้านขนมหวานแล้วไม่รู้จะเลือกหยิบขนมชิ้นไหนดี จงเลือกกราฟเพียงไม่กี่ตัวในจังหวะเวลาที่เหมาะสม อย่าพยายามที่จะไล่เทรดทุกตัว เพราะคุณไม่สามารถทำได้ (ยกเว้นว่าคุณเป็นคอมพิวเตอร์!!!)
เบื้องหลังของความผิดพลาดในข้อที่ 2 และ ข้อที่ 3 มักจะเกิดจากความมั่นใจที่มากเกินไปถึงแม้้ว่าความมั่นใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญในการทำตามแผนและระบบลงทุนของคุณ แต่ถ้ามีความมั่นใจที่มากเกินพอดี (Overconfidence) มันจะก่อให้เกิดผลเสีย เพราะความมั่นใจที่มากเกินไปนั้น เป็น 1 ในเหตุผลสำคัญที่ว่า ทำไมนักลงทุนและนักเก็งกำไรที่มีประสบการณ์จึงยังสามารถขาดทุนได้
เมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกว่า ความสำเร็จของคุณในตลาดมาจากการที่คุณเป็นอัจฉริยะ ไม่ได้มาจากความคิดที่รอบคอบและไตร่ตรองอย่างระมัดระวังในการลงทุน ก็เท่ากับว่าคุณใกล้ถึงเวลาที่จะขาดทุนแล้ว

ข้อที่ 4: เฝ้าดูกราฟมากเกินไป (Watching your stocks too closely)
“การเฝ้ามองกราฟบนหน้าจอทั้งวันนั้น ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆและเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ผมเชื่อว่าการเฝ้าดูทุกคำสั่งซื้อขายจะทำให้คุณขายหมูก่อนเวลาอันควร และ มักทำให้คุณ buy ในราคาที่สูงเกินไปหรือ sell ในราคาที่ต่ำเกินไปของวันนั้น รวมถึงทำการ Overtrading ผมแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการเฝ้ามองกราฟตลอดเวลา และหันไปทำสิ่งอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุนและต่อตัวของคุณเองในช่วงเวลาซื้อขาย เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านั้น”
- Steve Clark –
 “หากคุณใช้เวลาอยู่ในร้านตัดผมสักพักหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็วคุณจะคิดว่าคุณต้องตัดผม ทั้งๆที่คุณหัวล้าน”
– Warren Buffett –
 การเฝ้ามองกราฟอย่างใกล้ชิดจะทำให้เกิดผลเสียต่อผลตอบแทนของคุณ เมื่อคุณเข้าเข้าเทรดแล้ว คุณไม่ควรซื้อขายเพียงเพราะเห็นคำสั่งซื้อขายเล็กๆน้อยๆที่สวนทางกับ Position ของคุณ การเฝ้ามองกราฟมากเกินไปนั้น ก็เปรียบเหมือนคุณนั่งอยู่ในร้านเบเกอรี่แสนอร่อยขณะที่คุณกำลังลดความอ้วน ดังนั้น คุณควรหาสิ่งอื่นทำแทนที่จะนั่งเฝ้าดูกราฟทั้งวัน อย่างเช่นการอ่านหนังสือ ออกกำลังกาย หรือ อะไรก็ตามที่ทำให้ไม่ต้องยุ่งกับการดูราคาหุ้นระหว่างวันมากเกินไป หากคุณยังสงสัยอยู่ว่า ก็ผมเป็นเทรดเดอร์แล้วจะไม่ให้เฝ้าหน้าจอได้อย่างไร? ผมขอทิ้งท้ายไว้ด้วยคำคมของ โซรอส นะครับ ลองเอาไปเปรียบเทียบกับการเทรดดู
“ถ้าคุณออกไปทำงานทุกวัน เพียงเพราะคิดว่าคุณต้องทำอะไรซักอย่าง ผลก็คือ มันทำให้คุณมักจะทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อะไรเพื่อไม่ให้เบื่อไปวันๆ ซึ่งผมคิดว่าคุณควรจะอยู่เฉยๆดีกว่า ปกติแล้วผมจะไปทำงานเฉพาะเวลาที่มีงานให้ทำ ในเวลาที่มันควรค่าแก่การทำจริงๆ ผลก็คือ ผมเรียนรู้ที่จะสามารถแยกแยะได้ว่า วันไหนที่มีงานสำคัญกว่าวันอื่นๆ และรู้ว่าเวลาไหนที่ควรมุ่งมั่นกับงานเป็นพิเศษ”


Credit:http://www.thaiforexschool.com

หลัก 4 ประการสู่ความสำเร็จในการลงทุน



ปัจจัยหลักๆที่สำคัญในการลงทุนในมุมมอง ของผม (i_sarut ผู้เขียนบทความ) ก็คือ หลักการ, ความรู้, EQ และ ประสบการณ์ ผมว่าปัจจัย 4 อันนี้มีความสำคัญเท่าๆกันหมด จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ (แต่สามารถมีมากกว่า 4 อย่างได้) ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จในการลงทุน เราต้องมีองค์ประกอบเหล่านี้ และต้องพัฒนาไปทุกๆด้านครับ

ข้อที่ 1: หลักการ (Principle)
อยู่ที่ว่าคุณเทรดแนวไหน ก็ให้นำหลักการของสายนั้นมาใช้ ดูกราฟก็เชื่อกราฟ (Technical Analysis) ดูพื้นฐานก็เชื่อพื้นฐานครับ (Fundamental Analysis) หรือจะเป็นแนวผสมก็ได้ ผมสังเกตว่าเดี๋ยวนี้คนเล่นแนวผสมมีเยอะมากครับ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรือประหลาดอะไร ใครถนัดใช้เครื่องมืออะไรก็ใช้ไปครับ แต่ขอให้คุณลงทุนอย่างมีความสุข และได้กำไรก็เพียงพอแล้วครับ ที่สำคัญคืออย่าขาดทุนนะครับ
          ผมชอบประโยคนึงของพี่คลายเครียด ที่เขียนไว้ในหนังสือ VSOP ว่า “ถ้า เราใช้หลักการไหนแล้วยังได้เงินได้กำไรอยู่เรื่อยๆ ก็ให้ใช้หลักการนั้นต่อไป แต่ถ้าใช้แล้วไม่ได้เงินก็ให้ลองเปลี่ยนแนวดู จนกว่าจะเจอแนวทางที่ลงตัว” แต่ทั้งนี้ ทุกคนควรจะมีหลักการลงทุนเป็นของตัวเองนะครับ สไตล์ใครสไตล์มัน ซึ่งของแบบนี้ผมว่าเลียนแบบกันไม่ได้ เมื่อถึงจุดนึงผมเชื่อว่า ทุกคนจะมีแนวทางการลงทุนเป็นของตัวเองครับ ถึงแม้จะยึดหลักการเดียวกันก็ตาม

ข้อที่ 2: ความรู้ (Knowledge)
เมื่อมีหลักการแล้ว ก็ต้องมีความรู้จริงในหลักการที่เราใช้นะครับ หรือ เข้าถึงแก่นแท้ของหลักการนั่นเอง บางคนรู้อย่างผิดๆ ใช้อย่างผิดทาง พอขาดทุนก็มาโทษหลักการซะงั้นรวมไปถึงมีความรู้รอบตัว และควรจะรู้เรื่องธุรกิจ-เศรษฐกิจ, เศรษฐศาสตร์ เอาไว้บ้าง เพราะเราจะสามารถนำความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่างๆได้ครับ เพราะในตลาดมักเกิดสถานการณ์พิเศษที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนอยู่เสมอๆ

ข้อที่ 3: Emotional Quotient (EQ) จิตใจต้องหนักแน่น มั่นคงในหลักการที่เราเลือกใช้(ถ้าไม่เชื่อในหลักการ แล้วเราจะเลือกใช้ไปทำไม) นอกจากนั้น สิ่งสำคัญคือ คุณต้องไม่หวั่นไหวไปตามกระแสฝูงชน(ไม่แห่ตามโดยไม่มีเหตุผล) มีความคิดที่เป็นอิสระ และเป็นตัวของตัวเองครับนักลงทุนหลายๆท่านที่ประสบความสำเร็จ ก็เพราะมี EQ ที่สุดยอดนี่ละครับ

ข้อที่ 4: ประสบการณ์ (Experience)
ยิ่งลงทุนนาน ประสบการณ์ก็ยิ่งมากตามครับ เริ่มลงทุนก่อน เริ่มลงทุนเร็ว ได้เปรียบเห็นๆครับข้อนี้ ผมว่าเรื่องจำนวนเงินเริ่มต้นไม่สำคัญเท่าประสบการณ์นะครับ หลายคนมีความเชื่อว่าการลงทุนต้องใช้เงินในจำนวณที่มาก ๆแต่ Forex สามารถให้เราเริ่มรู้จักการลงทุนได้ด้วยเงินเริ่มต้นเพียง 1$ (บางโบรกเกอร์) หากเทียบกันที่จำนวนเงินแล้วแน่นอนว่าเงินน้อยกว่าจะปั่นขึ้นมาได้นั่นเป็น ไปได้ยากและเหนื่อยกว่าเงินก้อนโตแต่ทั้งเงินก้อนเล็กและก้อนโตก็สามารถสอน เราได้ถึงหลักการเทรดเหมือนกันหากเรามองเป็น % เหตุผลที่คนกลัวการลงทุนเพราะคนส่วนใหญ่จะคิดกำไรเป็นตัวเงิน ไม่ได้คิดผลตอบแทนเป็น % คิดแต่จะเอาเงินอย่างเดียวโดยไม่ต้องศึกษาซึ่งมันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ เวลาผ่านไปซัก 5 – 10 ปี ถ้าเราลงทุนอย่างถูกวิธี มีหลักการที่ดี ก็ควรจะได้เงินมามากพอสมควร(ตามผลตอบแทนที่ทำได้) และจังหวะนั้นละครับเราค่อยนำเงินก้อนโตมาลงทุนเพื่อปักหลักสร้างฐานกับการ ลงทุนให้ได้อย่างที่ปราถนาไว้ เพราะฉะนั้น อย่าอ้าง!!! ครับว่าไม่มีเงินมาลงทุน แค่ 500 บาทก็เทรดได้แล้วครับสมัยนี้

หากผู้อ่านคิดว่าอยากจะเพิ่มข้อ 5 ข้อ 6 ตามที่ตัวเองเห็นสมควรก็ได้นะครับเพียงแต่ว่า 4 ข้อนี้เป็นพื้นฐานของการเทรดอยู่แล้ว ขอเพียงมี 4 ข้อนี้และพัฒนามันไปเรื่อย ๆ ผมมั่นใจว่าอนาคตเทรดเดอร์ที่ดีคนหนึ่งคงหนีไม่พ้นคุณเป็นแน่ครับ

เทรดมานานแล้วแต่ทำไม่ไม่รวย?

จากบทความวันนี้นะครับ เป็นบทความน่าสนใจอีกบทความหนึ่ง ผมเห็นมีคนกล่าวใน Facbook ซึ่งทำให้ผมนึกสะท้อนในวงการเทรด forex วิธีไหนกันนะที่เราจะประสบความสำเร็จในการเทรดค่าเงินให้รวยได้หรือ ทำกำไรตลาดนี้ได้เป็นระยะนานๆ ลองมาดูข้อความด้านล่างนี้กันนะครับ 

"ผมเชื่อว่าเทรดเดอร์ที่เทรดมานานๆเเล้วโดนตลาดทำร้ายเเล้วเเต่ไม่ยอมเเพ้ นานๆเข้าทุกคนก็จะเป็นเหมือนกันคือ ตกผลึก มีระบบเป็นของตัวเอง การอยู่ในตลาดมานานไม่มีใครหรอกที่จะไม่เก่ง ถ้าไม่เก่งนี่จะเเปลกเอามากๆ หลายคนมีระบบที่เเม่นยำถึง90เปอเซนด้วยกันทั้งนั้น บางคนใน1เดือนเข้าเทรด 50ครั้ง เทรดชนะถึง45ครั้ง เเต่ทำไมเราถึงยังไม่รวย ? คำตอบคือเพราะเราเป็นฝ่ายหยิบยื่นความน่าจะเป็นที่น่าจะชนะในระยะยาวให้โบรก เกอร์นั่นเอง ยกตัวอย่างสมมติว่าเราเล่นไพ่กับเจ้ามือกันสองคน ถ้าเราชนะเราได้2บาท เเต่เจ้ามือชนะจะได้10บาท ถึงเราจะเป็นฝ่ายชนะบ่อยกว่าเจ้ามือ เพราะเรามีเครื่องมือที่ดี มีพรายกระซิบ ผีบอก เเต่ระยะยาวกำไรก็จะตกเป็นของเจ้ามืออยู่ดี เพราะเรากำลังฝืนกฎหลักคณิตศาสตร์ความน่าจะเป็นง่ายๆของเด็กมัธยม เรากำลังพยายามผลักกำเเพงที่เเข็งเเกร่งมากอยู่ (ปล.ผมเชื่อว่าเทรดเดอรืที่เทรดมานานจะติดเกาะเดียวกันเป็นชุมชนที่แออัดมาก คือ อยู่รอดเเละทำกำไรในตลาดได้ เเต่ยังไม่รวย เป็นชุมชนที่หนาเเน่นมาก สำหรับผู้รอดชีวิตขั้นที่ 4! มีเทรดเดอร์เพียง 3เปอร์เซนที่สามารถ ผ่านขั้นที่4 สู่ขั้นที่ 5ได้ โดยใช้กุญเเจดอกสุดท้ายไขออกไป กุญเเจที่ชื่อว่า ..Let profit run... )"

ผมเชื่อว่าเทรดเดอร์ที่เทรดมานานๆเเล้วโดนตลาดทำร้ายเเล้วเเต่ไม่ยอมเเพ้ นานๆเข้าทุกคนก็จะเป็นเหมือนกันคือ ตกผลึก มีระบบเป็นของตัวเอง การอยู่ในตลาดมานานไม่มีใครหรอกที่จะไม่เก่ง ถ้าไม่เก่งนี่จะเเปลกเอามากๆ หลายคนมีระบบที่เเม่นยำถึง90เปอเซนด้วยกันทั้งนั้น บางคนใน1เดือนเข้าเทรด 50ครั้ง เทรดชนะถึง45ครั้ง เเต่ทำไมเราถึงยังไม่รวย ? คำตอบคือเพราะเราเป็นฝ่ายหยิบยื่นความน่าจะเป็นที่น่าจะชนะในระยะยาวให้โบรกเกอร์นั่นเอง ยกตัวอย่างสมมติว่าเราเล่นไพ่กับเจ้ามือกันสองคน ถ้าเราชนะเราได้2บาท เเต่เจ้ามือชนะจะได้10บาท ถึงเราจะเป็นฝ่ายชนะบ่อยกว่าเจ้ามือ เพราะเรามีเครื่องมือที่ดี มีพรายกระซิบ ผีบอก เเต่ระยะยาวกำไรก็จะตกเป็นของเจ้ามืออยู่ดี เพราะเรากำลังฝืนกฎหลักคณิตศาสตร์ความน่าจะเป็นง่ายๆของเด็กมัธยม เรากำลังพยายามผลักกำเเพงที่เเข็งเเกร่งมากอยู่                      (ปล.ผมเชื่อว่าเทรดเดอรืที่เทรดมานานจะติดเกาะเดียวกันเป็นชุมชนที่แออัดมาก คือ อยู่รอดเเละทำกำไรในตลาดได้ เเต่ยังไม่รวย เป็นชุมชนที่หนาเเน่นมาก สำหรับผู้รอดชีวิตขั้นที่ 4! มีเทรดเดอร์เพียง 3เปอร์เซนที่สามารถ ผ่านขั้นที่4 สู่ขั้นที่ 5ได้ โดยใช้กุญเเจดอกสุดท้ายไขออกไป กุญเเจที่ชื่อว่า ..Let profit run... ) 
เป็นบทความสั้นๆ แต่ได้ใจความนะครับ ฝากให้ทุกคนที่เป็นเทรดเดอร์ช่วยเก็บไปคิดดูนะครับ ขอบคุณครับ 

Credit: คุณ หัวใจหล่อมาก ไลค์ อย่างเดียว(Facebook)