วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2557

แนะนำระบบเทรด Gmacd,Autofib Tradezone


แชร์ประสบการระบบเทรดโดยใช้ GMACD + AutoFibonacci TradeZone ด้วยประสบการจริง 






ผมขอแชร์ประสบการณ์ครับ จากที่เพื่อน ๆ เห็นตัวเลข อย่าพึ่งเห็นว่าเงินทุนผมเยอะนะครับ ผมเริ่มจาก 40 $ ครับ จนสะสมมาได้ถึง 200 $ เทคนิคที่ทำให้ผมได้ก็คือ Indy gmacd กับ Autofib tradezone ครับ ผมจะเล่นใน Timeframe 4h ครับ นั่นก็คือความเสี่ยงที่สูงใช่ไหมครับ แต่ไม่เลยครับเพราะ 2 Indy ทีผมนำมาให้นี้มันจะสอดคล้องกับข่าวครับ น่าตกใจใช่ไหมครับ ต่อไปผมจะอธิบายอย่างละเอียดนะครับ 

ผมจะขออธิบายจากรูปที่ 2 นะครับ คือสกุลเงิน AUDNZDm จากนั้นให้ดูที่ GMACD ที่ Maintrend ครับ H1,H4, Major trend D1,W1 เป็นสีเขียวหมดเลยครับ และเส้น Autofib Tradezone ชนที่ 23.6 แล้วพักตัว กำลังจะขึ้นไปต่อซึ่งหมายความว่าอาจจะชนถึง 0 แน่นอนครับ แต่ความเสี่ยงก็คือเงินในพอร์ตครับ พูดง่าย ๆ ควรเล่นให้เหมาะสมกับเงินในพอร์ตของเราครับ อาจจะใช้เวลา 1-2 วันเพราะเล่นที่ timeframe h4  แต่มั่นใจได้เลยครับว่าได้แน่นอน ลองนำไปใช้กันดูนะครับ ถ้ามีเทคนิคหรือคำแนะนำก็จะยินดีมากเลยครับ 

ดาวน์โหลด
Link GMACD : http://www.4shared.com/file/ZppEwIkS/GMACD_Signals.html
Link Autofib Tradezone : http://www.4shared.com/file/cfV7u6HR/AutoFib_TradeZones.html


ขอบคุณ : group.wunjun.com

แนะนำ FiboLucky System

หัวข้อนี้จะกล่าวถึงระบบเทรดส่วนตัวของผม ที่ใช้อยู่ ณ ปัจจุบัน เป็นระบบง่ายๆ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
โดยผมให้ชื้อว่า FiboLucky By ForexThaiPlus

หลักการของ FiboLucky By ForexThaiPlus
1. เข้า Order ตาม Fibo Retracement
2. ตามสัจจะธรรมของกราฟ Forex มีขึ้นก็มีลง  เข้าถูกทางก็มีเข้าผิดทาง เพราะฉะนั้น  เพื่อแก้ข้อด้อยของการที่ระบบเปิด Order ผิดทาง จะมีตัวช่วยคือแก้ทาง โดยใช้หลักการ  ของ ระบบ Lucky 7
3. ใช้ได้ทุก Time frame ทุกคู่เงิน แต่ผมใช้ที่ M15 H1 H4 เป็นหลัก
4. ควรจะบริหารเงินเป็นระบบ

วิธีใช้ FiboLucky By ForexThaiPlus
ดูตามรูปน่าจะเข้าใจมากกว่า

ให้กาง Fibo ตามเทรนปัจจุบัน หรือจะกางตามแบบที่ผมเข้าใจ(กราฟขึ้น กางขึ้น , กราฟลง กางลง)



โดยการเข้า order ทั้ง 4 จุด ให้เข้า lot ที่ เท่ากัน เช่น เปิด Sell lot 0.01 ทั้ง 4 จุด โดยที่ 4 จุดมี TP ที่เดียวกัน

ถ้าในกรณีที่กาง Fibo แล้วราคา เลย Fibo ที่ 38.2 มาที่ Fibo 23.6 จะให้ระบบแก้ทางมาช่วย

จากรูปตอนแรกเราคิดว่ามันจะขึ้นต่อ เลยเปิด Order Buy Lot 0.01 ตั้งแต่ Fibo 76.4 - 38.2 แต่กราฟดันลงมาถึง Fibo 23.6 เราจึงต้องเปิด Order ตามน้ำไป โดย เปิด Sell ที่ Fibo 23.6 Lot เป็น 3 เท่าของ Lot ที่เปิดผิดทางรวมกันทั้งหมด = 0.12 ( มาจาก 0.01+0.01 +0.01 +0.01 = 0.04 แล้วนำ 0.04*3 = 0.12) โดยมี TP ที่จำนวน Pip เป็น 2 เท่า ของ TP ระหว่าง Fibo 76.4-127.2  และให้ปรับ SL ของ Order ที่เปิดผิดทาง เท่ากับ TP ของ Order ที่แก้ทาง

แต่จะมีอีกกรณีคือ เมื่อกราฟมีการแกว่งไปมา

จากรูปเมื่อกาง Fibo ขาลงแล้ว กราฟขึ้นไปที่ Fibo 23.6 (เปิด order แก้ทางตามน้ำไป) แต่กราฟดันไปขึ้นดันลงมาอีก ถ้ากราฟลงมาถึง จุดที่เปิด Order ผิดทางตอนแรก ให้เปิด Order แก้ทางชุดที่ 2 โดย Lot เป็น 2 เท่า ของ Lot Order แก้ทางอันแรก โดยมี TP จำนวน Pip เท่ากับ จำนวน Pip ของ TP แก้ทางอันแรก และให้ปรับ TP ของ Order ที่เปิดผิดทางแรกสุดให้เท่ากับ TP ของ Order แก้ทางครั้งที่ 2

ตัวอย่าง

open 1  Sell (Fibo 76.4) ที่ 1.2900 Lot 0.01   TP (Fibo  127.2)  50 pip = 1.2850  SL ไม่มี
open 2  Sell (Fibo 61.8) ที่ 1.29xx Lot 0.01   TP (Fibo  127.2)  1.2850                 SL ไม่มี
open 3  Sell (Fibo 50.0) ที่ 1.29xx Lot 0.01   TP (Fibo  127.2)  1.2850                 SL ไม่มี
open 4  Sell (Fibo 38.2) ที่ 1.29xx Lot 0.01   TP (Fibo  127.2)  1.2850                 SL ไม่มี

แก้ทางครั้งที่ 1 Buy (Fibo 23.6) ที่ 1.29xx Lot 0.12 TP 100 pip = 1.30xx  SL = TPของ open 1-4
แก้ SL ของ Open1-4

open 1  SL   1.30xx = TP ของ แก้ทางครั้งที่ 1
open 2  SL   1.30xx = TP ของ แก้ทางครั้งที่ 1
open 3  SL   1.30xx = TP ของ แก้ทางครั้งที่ 1
open 4  SL   1.30xx = TP ของ แก้ทางครั้งที่ 1


แก้ทางครั้งที่ 2 Sell  (Fibo 76.4) ที่ 1.2900  Lot 0.24 TP 100 pip = 1.2800 SL = TPของแก้ทางครั้งที่ 1
แก้  SL ของ  แก้ทางครั้งที่ 1  SL = TPของแก้ทางครั้งที่ 2
แก้ TP และ SL ของ Open1-4

open 1  TP  100 pip = 1.2800  SL   1.30xx = TP ของ แก้ทางครั้งที่ 1
open 2  TP  1.2800                  SL   1.30xx = TP ของ แก้ทางครั้งที่ 1
open 3  TP  1.2800                  SL   1.30xx = TP ของ แก้ทางครั้งที่ 1
open 4  TP  1.2800                  SL   1.30xx = TP ของ แก้ทางครั้งที่ 1

หมายเหตุ
- จัดการบริหารเงินให้ดีๆ
- ระบบนี้สามารถกาง Fibo ได้หลายชุด จากตัวอย่างข้างบนเป็นเพียงแค่ชุดเดียว ถ้ายิ่งมากชุดยิ่งใช้ มาจิ้น มาก
- จะกาง Fibo จากจุดไหนก็ได้ไม่ตายตัวแต่ขอให้ถูกหลักการ
- ไม่ต้องกลัวขาดทุนเพราะมีการแก้ทาง
- จากที่เคยเทรดมาการแก้ทางต่อชุดไม่ค่อยเกิน 3-4 ครั้ง

ตัวอย่างรูปการเข้า order(กดคลิ๊กรูป ดูภาพใหญ่)


***ควรหาตำแหน่งการกาง Fibo โดยให้ช่วง Fibo 76.4-23.6 มีระยะห่าง 50 pip ขึ้นไป ตามรูปข้างบนถ้าช่วงน้อยไปจะเกิดการแก้ทางบ่อยเนื่อจากกราฟแกว่งไปมา ซึ่งจะทำให้มาจิ้นมากขึ้นเท่าตัว




ต่อไปเป็นตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ของการกาง fibo แต่ละชุดของผม (26/11/2012)
สองภาพแรก M15    สุดท้าย H4




ขอบคุณ : forexthaiplus.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การใช้ STOCHASTICS ช่วยวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน



STOCHASTICS  คือ ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคาที่ศึกษาความสัมพันธ์ การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่งๆ กับราคาปิด โดยมาจากข้อสังเกตที่ว่า ถ้าการสูงขึ้นของราคานั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป ราคาปิดของหุ้นนั้นจะอยู่ใกล้กับราคาสูงสุด แต่ถ้าราคาของมีแนวโน้มลดต่ำลง ราคาปิดจะอยู่ในระดับเดียวกับราคาต่ำสุดของวัน
ความสัมพันธ์ระหว่าง ราคาสูงสุด-ต่ำสุดกับราคาปิด ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสูตรสมการในการดูแนวโน้มขึ้น หรือลงของราคาหุ้นในช่วงสั้น ๆ โดยนำมาใช้ดูว่า ราคาปิดอยู่ที่ระดับกี่เปอร์เซ็นต์ของช่วงราคาที่ซื้อขายในช่วงระยะเวลา หนึ่ง

หลักการเบื้องต้นในการคำนวณ  STOCHASTICS

     เส้น  %K เป็นเส้น  STOCHASTICS
     เส้น  %D  เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น  %K

            %K       =          ราคาปิด (วันนี้) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)      
                                   ราคาสูงสุด (ในช่วง n วัน) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)
            %D       =   ค่าเฉลี่ย (n วัน) ของค่า %K

ความหมายของระดับ 0% และ 100%

ระดับ 0%  หมายถึงระดับที่บอกภาวะขายมากไป  (OVERSOLD) ของราคาแต่ ณ ระดับนี้ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะลดลงต่ำกว่านี้อีกไม่ได้ เพียงแต่บอกว่า ณ ระดับนี้ราคาอาจหยุดพักชั่วคราว หรืออาจดีดตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ราคาจะตกลงต่อระดับ 0%

ระดับ 100 % หมายถึงระดับที่บอกภาวะซื้อมากไป (OVERBOUGHT) ของราคา แต่ ณ ระดับนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาจะไม่สามารถวิ่งขึ้นสูงต่อไปได้ แต่กลับชี้ให้เห็นว่าหุ้นมีความแข็งแรง จน สามารถผลักดันให้เส้น STOCHASTIC ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100% ได้ อย่างไรก็ดี ณ ระดับราคานี้  STOCHASTIC   อาจมีการปรับตัวลงมาบ้าง แต่เป็นการปรับตัวเพื่อลดภาวะ OVERBOUGHT  มากกว่า

STOCHASTICS  คือ ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคาที่ศึกษาความสัมพันธ์ การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่งๆ กับราคาปิด โดยมาจากข้อสังเกตที่ว่า ถ้าการสูงขึ้นของราคานั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป ราคาปิดของหุ้นนั้นจะอยู่ใกล้กับราคาสูงสุด แต่ถ้าราคาของมีแนวโน้มลดต่ำลง ราคาปิดจะอยู่ในระดับเดียวกับราคาต่ำสุดของวัน
ความสัมพันธ์ระหว่าง ราคาสูงสุด-ต่ำสุดกับราคาปิด ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสูตรสมการในการดูแนวโน้มขึ้น หรือลงของราคาหุ้นในช่วงสั้น ๆ โดยนำมาใช้ดูว่า ราคาปิดอยู่ที่ระดับกี่เปอร์เซ็นต์ของช่วงราคาที่ซื้อขายในช่วงระยะเวลา หนึ่ง
 
หลักการเบื้องต้นในการคำนวณ  STOCHASTICS

     เส้น  %K เป็นเส้น  STOCHASTICS
     เส้น  %D  เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น  %K

            %K       =          ราคาปิด (วันนี้) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)      
                                   ราคาสูงสุด (ในช่วง n วัน) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)
            %D       =   ค่าเฉลี่ย (n วัน) ของค่า %K

ความหมายของระดับ 0% และ 100%

ระดับ 0%  หมายถึงระดับที่บอกภาวะขายมากไป  (OVERSOLD) ของราคาแต่ ณ ระดับนี้ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะลดลงต่ำกว่านี้อีกไม่ได้ เพียงแต่บอกว่า ณ ระดับนี้ราคาอาจหยุดพักชั่วคราว หรืออาจดีดตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ราคาจะตกลงต่อระดับ 0%

ระดับ 100 % หมายถึงระดับที่บอกภาวะซื้อมากไป (OVERBOUGHT) ของราคา แต่ ณ ระดับนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาจะไม่สามารถวิ่งขึ้นสูงต่อไปได้ แต่กลับชี้ให้เห็นว่าหุ้นมีความแข็งแรง จน สามารถผลักดันให้เส้น STOCHASTIC ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100% ได้ อย่างไรก็ดี ณ ระดับราคานี้  STOCHASTIC   อาจมีการปรับตัวลงมาบ้าง แต่เป็นการปรับตัวเพื่อลดภาวะ OVERBOUGHT  มากกว่า
 

  1. %K ตัดกับ %D

    STO จะมีสองเส้นมาให้ใช้งาน ประกอบด้วย เส้น %K เส้นหลัก กับเส้น %D เส้นรอง โดยเราจะยึดดู %K เป็นหลัก

    หาก %K ตัด %D ขึ้นมาได้ จะเป็นสัญญาณซื้อ
    และหาก %K ตัด %D ลงมา จะเป็นสัญญาณขาย


2. Overbought กับ Oversold (สภาวะที่หุ้นมีการซื้อมากเกินไป และขายมากเกินไป)

                เครื่อง มือชนิดนี้ จะแกว่งตัวในกรอบ 0-100 แต่ในทางเทคนิค เขาจะมีโซนตัวเลขให้พิจารณาอยู่สองโซนด้วยกันครับ  โดยยึดค่า %K เป็นหลักนะครับ  

โซน แรกคือ โซนตัวเลข 0-20% โซนนี้ จัดให้อยู่ในโซน "Oversold หรือสภาวะที่มีการขายหุ้นมากเกินไป"  และโซนที่สองคือโซนตัวเลข 80-100%  จะจัดให้อยู่ใน "สภาวะที่หุ้นมีการซื้อมากเกินไป หรือ Overbought"



3. Bullish Divergence และ Bearish Divergence

สำหรับประเด็นนี้ แนวคิดต่างๆ ก็จะเหมือนกับ MACD และ RSI ครับ

เมื่อใดที่เกิด Divergence ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะจะเป็นนัยว่า หุ้นจะเปลี่ยน Trend ในอนาคตอันใกล้นี้
การเกิด Divergence แต่ละครั้ง มักจะใช้เวลาที่มากพอสมควรในการก่อตัวเป็นรูปร่าง Divergence
และหากเกิด Divergence ในเขต Overbought หรือ Oversold ก็ยิ่งถือว่ามีนัยยะด้วยครับ

หลักการอ่าน  STOCHASTICS
สัญญาณเตือน “ซื้อ” เกิดขึ้นเมื่อเส้น  STOCHASTICS เข้าเขต  OVERSOLD ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณ “ซื้อ” จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้น

สัญญาณเตือน “ขาย” เกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต OVERBOUGHT ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80% และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณ “ขาย” จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลง
 


การใช้ MACD ช่วยวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน


MACD เป็นเครื่องมือที่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับราคา (TREND FOLLOWING) สามารถใช้วัดระดับ (DEGREE) ตลาดว่าเป็นตลาดขาขึ้น หรือตลาดขาลง 

ค่ามตรฐานสำหรับ MACD อยู่ที่ 12,26,9 ผู้เทรดสามารถใช้ MACD เพื่อช่วยในการระบุพฤติกรรมของเทรนหรือราคาได้เช่น ราคากำลังเป็นเทรน

ราคากำลังชะลอตัวหรือสะสมแรง หรือ ราคากำลังจะกลับตัว MACD มีส่วนประกอบอยู่ 3 อย่างคือ


1. เส้น Moving Average
2.แท่ง Histogram
3.เส้น Zero Line


MACD แบบ Histogram สามารถบอกผู้เทรดได้ถึงภาวะของเทรนซึ่งมีอยู่ 3 สถานะคือ

1. สภาวะที่กราฟเป็นเทรน

2. สภาวะที่กราฟชะลอตัว

3. สภาวะที่กราฟกลับตัว


สัญญาณจาก MACD แบบ Histogram ที่บ่งบอกว่าราคาเป็นเทรนขึ้น (UPTREND) เมื่อกลุ่มของแท่ง Histogram สามารถยืนเหนือเส้น Moving Average

ใน MACD ได้และเส้น Moving Average ใน MACD และกลุ่มของ Histogram สามารถยืนเหนือเส้น Zero Line ได้ จากนั้นแท่ง Histogram ลู่ขึ้นเรื่อย ๆ



สัญญาณจาก MACD แบบ Histogram ที่บ่งบอกว่าราคากำลังชะลอตัว (UPTREND SIDEWAY) กลุ่มของ Histogram อยู่ต่ำกว่าเส้น Moving Average

ใน MACD และเส้น Moving Average ใน MACD และกลุ่มของ Histogram สามารถยืนเหนือเส้น Zero Line ได้


สัญญาณจาก MACD แบบ Histogram ที่บ่งบอกว่าราคากำลังกลับตัวจากเทรนขึ้นเป็นลง (Reversal) เมื่อกลุ่มของ Histogram อยู่ต่ำกว่าเส้น
Moving Average ใน MACD จากนั้นแท่ง Histogram ลู่ลงเรื่อย ๆ และเส้น Moving Average ใน MACD และกลุ่มของ Histogram

สามารถยืนอยู่ใต้เส้น Zero Line


วิธีการเทรดจาก MACD 

ผู้เทรดไม่จำเป็นต้องรอให้ Histogram หรือเส้น Moving Average ใน MACD ตัด Zero Line เมื่อเห็นแท่ง Histogram

เริ่มตัดกับเส้น Moving Average ผู้เทรดสามารถเทรดตามทางนั้นได้เลยครับ เพราะมันจะเป็นการเข้าที่ภาวะราคาชะลอตัวพอดี



Credit http://www.thaiforexschool.com

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ควรเทรด Forex คู่ไหนก่อน? เหตุผลที่ต้องการย้ำมือใหม่


คำถามสุดฮิตที่มักจะถามกันก็คือ ควรเริ่มเล่น Forex คู่ไหนดี? แล้วควรเทรด Forex เวลาไหน? วันนี้มาสรุปข้อมูลเพื่อย้ำความเข้าใจอีกที ให้นักเทรดฟอเร็กซ์มือใหม่ได้หายสงสัยกัน การเริ่มต้นของแต่ละคนเหมือนกัน แต่ความรู้ และทักษะแตกต่างกัน การเทรดฟอเร็กซ์ในช่วงแรกจะมีข้อมูลให้ศึกษามากมาย เข้าใจง่าย และมีสังคมออนไลน์เกี่ยวกับเรื่องฟอเร็กซ์โดยเฉพาะ เรามาเริ่มดูคำตอบกันเลยนะครับ

ข้อแรก ควรเริ่มเล่น Forex คู่ไหนดี?
เริ่มเล่น ผมแนะนำ EUR/USD เพราะ Spread ไม่มาก คู่นี้ Swing ไม่แรง และ อ่านกราฟ อ่าน Pattern ได้ง่ายกว่าคู่อื่นๆ และที่สำคัญ EUR/USD เป็นคู่ที่คนนิยมเล่นกันเยอะ ดังนั้นเราจะสามารถหาข้อมูล เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจได้ง่าย และ หลากหลายกว่าเล่นคู่อื่นๆ เมื่อเริ่มจะพอมี ประสบการณ์ หรือมีความชำนาญมากขึ้นแล้ว อาจจะค่อยๆ ขยับไปเล่นคู่ที่แรงกว่านี้ก็ได้ครับ เช่น GBP/JPY (วิ่งแรงถึงใจหลายๆ ท่าน)หรือ GBP/USD

ข้อสอง ควรเทรด Forex เวลาไหนดี?
ถ้าเลือกเล่น EUR/USD ตามที่ผมบอกข้างบน ก็ควรเทรดที่ช่วงเวลา 14.00 - 22.00 (เวลาไทย) จะดีที่สุดครับ และช่วงวิ่งแรงของคู่นี้ก็คือ 19.00 - 21.00 (เวลาไทย) เพราะช่วงนี้จะเป็นช่วงคาบเกี่ยวกันของการเปิดทำการของตลาด EUR กับ ตลาด USD ช่วงคาบเกี่ยวกันนี้กราฟจะวิ่งเยอะ เหมาะกับการเทรด

เพิ่มเติมสำหรับช่วงเวลาทำการของตลาด

ตลาด Forex นั้นมีหลายแห่งในโลก มีเวลาการเปิดปิดที่คาบเกี่ยวกัน ทำให้เราสามารถลงทุนได้ตลอด 24 ชั่วโมง ยกเว้นวันเสาร์-อาทิตย์ โดยตลาดต่างๆ มีเวลาเปิดปิดดังนี้

ตามเวลาประเทศไทย ตลาดจะเปิดทำการตั้งแต่เวลาตี 4 ของเช้าวันจันทร์ และปิดตี 4 ของเช้าวันเสาร์ (รวม 120 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) ข้อมูลดังกล่าวตามเวลาของประเทศไทย

ตลาด USD = US Dollar เปิดเวลา 19.00 น. ถึงตี 3

ตลาด GBP = British Pound เปิดเวลา 14.00 - 22.00 น.

ตลาด EUR = Euro เปิดเวลา 13.00 - 21.00 น.

ตลาด CHF = Swiss Franc เปิดเวลา 13.00 - 21.00 น.

ตลาด JPY = Japanese Yen เปิดเวลา 7.00 - 14.00 น.

ตลาด AUD = Australian Dollar เปิดเวลา 5.00 - 13.00 น.

ขอแนะนำเพิ่มเติมว่า ถ้าเพิ่งเริ่มเล่น forex ใหม่ๆ ควรจะเล่นคู่นั้นๆ ให้ชำนาญ และไม่ควรเล่นหลายคู่เกินไป เพราะจะอาจจะทำให้พะวักพะวงได้ครับ ชำนาญแล้วค่อยขยับไปศึกษาคู่อืนเพิ่มเติม

ส่วนตัวผมเองในช่วงแรกก็ไม่รู้ข้อมูลมาก เลยทดลองเปิด Order หลายคู่ สิ่งที่มองเห็นคือความแตกต่างจากองค์ประกอบบางอย่าง ทั้ง Spread, Lot, Bid, Ask, พฤติกรรมกราฟ ฯลฯ เป็นต้น การคำนวนจะแตกต่างกัน และหลังจากรู้ว่ามีความเสี่ยงมากถ้าเล่นมั่ว ๆ เลยลดขอบเขตเหลือเพียงคู่เดียว คือ EURUSD (E/U) แล้วศึกษาพฤติกรรมกราฟ พร้อมกับความเป็นไปได้ของ Indicators เล่ยคิดว่า E/U เหมาะสมที่จะเล่นในช่วงเริ่มต้น ส่วนปัจจัยเหตุผลอื่นๆ มีอีกมากมายเลยครับ

มาถึงตรงนี้ หลายๆ ท่านคงจะเลือกคู่ที่จะเล่นได้แล้วนะครับ