วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ไขข้อข้องใจความล้มเหลวในตลาดฟอเร็กซ์


จุดเริ่มต้นที่แท้จริงไม่ใช่การได้กำไรจากตลาดฟอเร็กซ์ เพราะการได้กำไรในตลาดฟอเร็กซ์นั้นเป็นตัวชี้วัดว่าเราจะต้องพิจารณาระดับตนเองในการเลื่อนมาเป็นนักเทรดที่แท้จริงโดยมีทางเลือกของสายนักเทรดเช่น Technical Analysis หรือ Fundamental ฯลฯ เป็นต้น บางคนก็เป็นนอกเหนือจากนี้ หรือผสมผสานกันหลายๆอย่าง บางคนก็ยังหลงอยู่ในการเทรดสายพนันโดยมี ดวงและอารมณ์เป็นเครื่องมือเทรด วันนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่ผ่านมาหลายเดือน หรือหลายปี แน่นอน..ซึ่งเกิดจากความล้มเหลวอีกตามเคย แต่ก็ปรับมาให้ถูกทางการเดินทางค่อยๆดีขึ้นเอง เหมือนการถากหญ้ารกเพื่อสร้างถนน มันจะคุ้มค่าเมื่อเกิดการเดินทางที่ยั่งยืน

สำหรับคนที่เทรดแนวเดียวกัน หรือคล้ายกันที่เดินทางมาพร้อมกับผมก็ถึงเวลาที่เริ่มต้นใหม่อีกรอบ แนวคิดคือตัดเครื่องมือออกไปให้มากที่สุดยิ่งไม่เหลือเลยยิ่งดี แต่คงยังไม่ถึงขั้นนั้นครับ เรากลับมาสู่ขั้นพื้นฐาน Basic นั่นแหละเอากันตรงๆเลย สำหรับความรู้ทั่วไปที่ผมรวบรวมไว้เป็นการส่วนตัวใน http://exnessclub.blogspot.com ก็ยังให้ประโยชน์สำหรับมือใหม่ หรือเพิ่งเริ่มเทรดฟอเร็กซ์  แต่สำหรับคนที่เทรดมาหลายช่วงเวลาพอสมควรแล้วจะสำเร็จหรือไม่ ผมแนะนำเปิดประตูบานใหม่ที่ http://fxbug.blogspot.com เราคือเหล่ากองทัพแมลง จะแมลงอะไรก็ช่าง จะบินเข้ากองไฟ หรือจะบินลงอ่างน้ำ ก็แล้วแต่พอใจครับ ให้อยู่รอดก็เป็นยอดแมลง

FXBUG.BLOGSPOT.COM 
เป็นการวิเคราะห์เทคนิคพื้นฐาน หาค่าความเที่ยงของเครื่องมือ หรือเจาะลึกโอกาสความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จของเครื่องมือนั้นๆ อย่างยั่งยืน เมื่อตกผลึกออกมาทุกคนก็จะได้ระบบเทรดเป็นของตนเอง ..และนั่นคือเป้าหมายสูงสุด

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม
exnessclub.blogspot.com
fxbug.blogspot.com

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2557

แนะนำระบบเทรด Gmacd,Autofib Tradezone


แชร์ประสบการระบบเทรดโดยใช้ GMACD + AutoFibonacci TradeZone ด้วยประสบการจริง 






ผมขอแชร์ประสบการณ์ครับ จากที่เพื่อน ๆ เห็นตัวเลข อย่าพึ่งเห็นว่าเงินทุนผมเยอะนะครับ ผมเริ่มจาก 40 $ ครับ จนสะสมมาได้ถึง 200 $ เทคนิคที่ทำให้ผมได้ก็คือ Indy gmacd กับ Autofib tradezone ครับ ผมจะเล่นใน Timeframe 4h ครับ นั่นก็คือความเสี่ยงที่สูงใช่ไหมครับ แต่ไม่เลยครับเพราะ 2 Indy ทีผมนำมาให้นี้มันจะสอดคล้องกับข่าวครับ น่าตกใจใช่ไหมครับ ต่อไปผมจะอธิบายอย่างละเอียดนะครับ 

ผมจะขออธิบายจากรูปที่ 2 นะครับ คือสกุลเงิน AUDNZDm จากนั้นให้ดูที่ GMACD ที่ Maintrend ครับ H1,H4, Major trend D1,W1 เป็นสีเขียวหมดเลยครับ และเส้น Autofib Tradezone ชนที่ 23.6 แล้วพักตัว กำลังจะขึ้นไปต่อซึ่งหมายความว่าอาจจะชนถึง 0 แน่นอนครับ แต่ความเสี่ยงก็คือเงินในพอร์ตครับ พูดง่าย ๆ ควรเล่นให้เหมาะสมกับเงินในพอร์ตของเราครับ อาจจะใช้เวลา 1-2 วันเพราะเล่นที่ timeframe h4  แต่มั่นใจได้เลยครับว่าได้แน่นอน ลองนำไปใช้กันดูนะครับ ถ้ามีเทคนิคหรือคำแนะนำก็จะยินดีมากเลยครับ 

ดาวน์โหลด
Link GMACD : http://www.4shared.com/file/ZppEwIkS/GMACD_Signals.html
Link Autofib Tradezone : http://www.4shared.com/file/cfV7u6HR/AutoFib_TradeZones.html


ขอบคุณ : group.wunjun.com

แนะนำ FiboLucky System

หัวข้อนี้จะกล่าวถึงระบบเทรดส่วนตัวของผม ที่ใช้อยู่ ณ ปัจจุบัน เป็นระบบง่ายๆ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
โดยผมให้ชื้อว่า FiboLucky By ForexThaiPlus

หลักการของ FiboLucky By ForexThaiPlus
1. เข้า Order ตาม Fibo Retracement
2. ตามสัจจะธรรมของกราฟ Forex มีขึ้นก็มีลง  เข้าถูกทางก็มีเข้าผิดทาง เพราะฉะนั้น  เพื่อแก้ข้อด้อยของการที่ระบบเปิด Order ผิดทาง จะมีตัวช่วยคือแก้ทาง โดยใช้หลักการ  ของ ระบบ Lucky 7
3. ใช้ได้ทุก Time frame ทุกคู่เงิน แต่ผมใช้ที่ M15 H1 H4 เป็นหลัก
4. ควรจะบริหารเงินเป็นระบบ

วิธีใช้ FiboLucky By ForexThaiPlus
ดูตามรูปน่าจะเข้าใจมากกว่า

ให้กาง Fibo ตามเทรนปัจจุบัน หรือจะกางตามแบบที่ผมเข้าใจ(กราฟขึ้น กางขึ้น , กราฟลง กางลง)



โดยการเข้า order ทั้ง 4 จุด ให้เข้า lot ที่ เท่ากัน เช่น เปิด Sell lot 0.01 ทั้ง 4 จุด โดยที่ 4 จุดมี TP ที่เดียวกัน

ถ้าในกรณีที่กาง Fibo แล้วราคา เลย Fibo ที่ 38.2 มาที่ Fibo 23.6 จะให้ระบบแก้ทางมาช่วย

จากรูปตอนแรกเราคิดว่ามันจะขึ้นต่อ เลยเปิด Order Buy Lot 0.01 ตั้งแต่ Fibo 76.4 - 38.2 แต่กราฟดันลงมาถึง Fibo 23.6 เราจึงต้องเปิด Order ตามน้ำไป โดย เปิด Sell ที่ Fibo 23.6 Lot เป็น 3 เท่าของ Lot ที่เปิดผิดทางรวมกันทั้งหมด = 0.12 ( มาจาก 0.01+0.01 +0.01 +0.01 = 0.04 แล้วนำ 0.04*3 = 0.12) โดยมี TP ที่จำนวน Pip เป็น 2 เท่า ของ TP ระหว่าง Fibo 76.4-127.2  และให้ปรับ SL ของ Order ที่เปิดผิดทาง เท่ากับ TP ของ Order ที่แก้ทาง

แต่จะมีอีกกรณีคือ เมื่อกราฟมีการแกว่งไปมา

จากรูปเมื่อกาง Fibo ขาลงแล้ว กราฟขึ้นไปที่ Fibo 23.6 (เปิด order แก้ทางตามน้ำไป) แต่กราฟดันไปขึ้นดันลงมาอีก ถ้ากราฟลงมาถึง จุดที่เปิด Order ผิดทางตอนแรก ให้เปิด Order แก้ทางชุดที่ 2 โดย Lot เป็น 2 เท่า ของ Lot Order แก้ทางอันแรก โดยมี TP จำนวน Pip เท่ากับ จำนวน Pip ของ TP แก้ทางอันแรก และให้ปรับ TP ของ Order ที่เปิดผิดทางแรกสุดให้เท่ากับ TP ของ Order แก้ทางครั้งที่ 2

ตัวอย่าง

open 1  Sell (Fibo 76.4) ที่ 1.2900 Lot 0.01   TP (Fibo  127.2)  50 pip = 1.2850  SL ไม่มี
open 2  Sell (Fibo 61.8) ที่ 1.29xx Lot 0.01   TP (Fibo  127.2)  1.2850                 SL ไม่มี
open 3  Sell (Fibo 50.0) ที่ 1.29xx Lot 0.01   TP (Fibo  127.2)  1.2850                 SL ไม่มี
open 4  Sell (Fibo 38.2) ที่ 1.29xx Lot 0.01   TP (Fibo  127.2)  1.2850                 SL ไม่มี

แก้ทางครั้งที่ 1 Buy (Fibo 23.6) ที่ 1.29xx Lot 0.12 TP 100 pip = 1.30xx  SL = TPของ open 1-4
แก้ SL ของ Open1-4

open 1  SL   1.30xx = TP ของ แก้ทางครั้งที่ 1
open 2  SL   1.30xx = TP ของ แก้ทางครั้งที่ 1
open 3  SL   1.30xx = TP ของ แก้ทางครั้งที่ 1
open 4  SL   1.30xx = TP ของ แก้ทางครั้งที่ 1


แก้ทางครั้งที่ 2 Sell  (Fibo 76.4) ที่ 1.2900  Lot 0.24 TP 100 pip = 1.2800 SL = TPของแก้ทางครั้งที่ 1
แก้  SL ของ  แก้ทางครั้งที่ 1  SL = TPของแก้ทางครั้งที่ 2
แก้ TP และ SL ของ Open1-4

open 1  TP  100 pip = 1.2800  SL   1.30xx = TP ของ แก้ทางครั้งที่ 1
open 2  TP  1.2800                  SL   1.30xx = TP ของ แก้ทางครั้งที่ 1
open 3  TP  1.2800                  SL   1.30xx = TP ของ แก้ทางครั้งที่ 1
open 4  TP  1.2800                  SL   1.30xx = TP ของ แก้ทางครั้งที่ 1

หมายเหตุ
- จัดการบริหารเงินให้ดีๆ
- ระบบนี้สามารถกาง Fibo ได้หลายชุด จากตัวอย่างข้างบนเป็นเพียงแค่ชุดเดียว ถ้ายิ่งมากชุดยิ่งใช้ มาจิ้น มาก
- จะกาง Fibo จากจุดไหนก็ได้ไม่ตายตัวแต่ขอให้ถูกหลักการ
- ไม่ต้องกลัวขาดทุนเพราะมีการแก้ทาง
- จากที่เคยเทรดมาการแก้ทางต่อชุดไม่ค่อยเกิน 3-4 ครั้ง

ตัวอย่างรูปการเข้า order(กดคลิ๊กรูป ดูภาพใหญ่)


***ควรหาตำแหน่งการกาง Fibo โดยให้ช่วง Fibo 76.4-23.6 มีระยะห่าง 50 pip ขึ้นไป ตามรูปข้างบนถ้าช่วงน้อยไปจะเกิดการแก้ทางบ่อยเนื่อจากกราฟแกว่งไปมา ซึ่งจะทำให้มาจิ้นมากขึ้นเท่าตัว




ต่อไปเป็นตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ของการกาง fibo แต่ละชุดของผม (26/11/2012)
สองภาพแรก M15    สุดท้าย H4




ขอบคุณ : forexthaiplus.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การใช้ STOCHASTICS ช่วยวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน



STOCHASTICS  คือ ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคาที่ศึกษาความสัมพันธ์ การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่งๆ กับราคาปิด โดยมาจากข้อสังเกตที่ว่า ถ้าการสูงขึ้นของราคานั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป ราคาปิดของหุ้นนั้นจะอยู่ใกล้กับราคาสูงสุด แต่ถ้าราคาของมีแนวโน้มลดต่ำลง ราคาปิดจะอยู่ในระดับเดียวกับราคาต่ำสุดของวัน
ความสัมพันธ์ระหว่าง ราคาสูงสุด-ต่ำสุดกับราคาปิด ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสูตรสมการในการดูแนวโน้มขึ้น หรือลงของราคาหุ้นในช่วงสั้น ๆ โดยนำมาใช้ดูว่า ราคาปิดอยู่ที่ระดับกี่เปอร์เซ็นต์ของช่วงราคาที่ซื้อขายในช่วงระยะเวลา หนึ่ง

หลักการเบื้องต้นในการคำนวณ  STOCHASTICS

     เส้น  %K เป็นเส้น  STOCHASTICS
     เส้น  %D  เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น  %K

            %K       =          ราคาปิด (วันนี้) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)      
                                   ราคาสูงสุด (ในช่วง n วัน) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)
            %D       =   ค่าเฉลี่ย (n วัน) ของค่า %K

ความหมายของระดับ 0% และ 100%

ระดับ 0%  หมายถึงระดับที่บอกภาวะขายมากไป  (OVERSOLD) ของราคาแต่ ณ ระดับนี้ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะลดลงต่ำกว่านี้อีกไม่ได้ เพียงแต่บอกว่า ณ ระดับนี้ราคาอาจหยุดพักชั่วคราว หรืออาจดีดตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ราคาจะตกลงต่อระดับ 0%

ระดับ 100 % หมายถึงระดับที่บอกภาวะซื้อมากไป (OVERBOUGHT) ของราคา แต่ ณ ระดับนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาจะไม่สามารถวิ่งขึ้นสูงต่อไปได้ แต่กลับชี้ให้เห็นว่าหุ้นมีความแข็งแรง จน สามารถผลักดันให้เส้น STOCHASTIC ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100% ได้ อย่างไรก็ดี ณ ระดับราคานี้  STOCHASTIC   อาจมีการปรับตัวลงมาบ้าง แต่เป็นการปรับตัวเพื่อลดภาวะ OVERBOUGHT  มากกว่า

STOCHASTICS  คือ ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคาที่ศึกษาความสัมพันธ์ การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่งๆ กับราคาปิด โดยมาจากข้อสังเกตที่ว่า ถ้าการสูงขึ้นของราคานั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป ราคาปิดของหุ้นนั้นจะอยู่ใกล้กับราคาสูงสุด แต่ถ้าราคาของมีแนวโน้มลดต่ำลง ราคาปิดจะอยู่ในระดับเดียวกับราคาต่ำสุดของวัน
ความสัมพันธ์ระหว่าง ราคาสูงสุด-ต่ำสุดกับราคาปิด ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสูตรสมการในการดูแนวโน้มขึ้น หรือลงของราคาหุ้นในช่วงสั้น ๆ โดยนำมาใช้ดูว่า ราคาปิดอยู่ที่ระดับกี่เปอร์เซ็นต์ของช่วงราคาที่ซื้อขายในช่วงระยะเวลา หนึ่ง
 
หลักการเบื้องต้นในการคำนวณ  STOCHASTICS

     เส้น  %K เป็นเส้น  STOCHASTICS
     เส้น  %D  เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น  %K

            %K       =          ราคาปิด (วันนี้) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)      
                                   ราคาสูงสุด (ในช่วง n วัน) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)
            %D       =   ค่าเฉลี่ย (n วัน) ของค่า %K

ความหมายของระดับ 0% และ 100%

ระดับ 0%  หมายถึงระดับที่บอกภาวะขายมากไป  (OVERSOLD) ของราคาแต่ ณ ระดับนี้ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะลดลงต่ำกว่านี้อีกไม่ได้ เพียงแต่บอกว่า ณ ระดับนี้ราคาอาจหยุดพักชั่วคราว หรืออาจดีดตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ราคาจะตกลงต่อระดับ 0%

ระดับ 100 % หมายถึงระดับที่บอกภาวะซื้อมากไป (OVERBOUGHT) ของราคา แต่ ณ ระดับนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาจะไม่สามารถวิ่งขึ้นสูงต่อไปได้ แต่กลับชี้ให้เห็นว่าหุ้นมีความแข็งแรง จน สามารถผลักดันให้เส้น STOCHASTIC ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100% ได้ อย่างไรก็ดี ณ ระดับราคานี้  STOCHASTIC   อาจมีการปรับตัวลงมาบ้าง แต่เป็นการปรับตัวเพื่อลดภาวะ OVERBOUGHT  มากกว่า
 

  1. %K ตัดกับ %D

    STO จะมีสองเส้นมาให้ใช้งาน ประกอบด้วย เส้น %K เส้นหลัก กับเส้น %D เส้นรอง โดยเราจะยึดดู %K เป็นหลัก

    หาก %K ตัด %D ขึ้นมาได้ จะเป็นสัญญาณซื้อ
    และหาก %K ตัด %D ลงมา จะเป็นสัญญาณขาย


2. Overbought กับ Oversold (สภาวะที่หุ้นมีการซื้อมากเกินไป และขายมากเกินไป)

                เครื่อง มือชนิดนี้ จะแกว่งตัวในกรอบ 0-100 แต่ในทางเทคนิค เขาจะมีโซนตัวเลขให้พิจารณาอยู่สองโซนด้วยกันครับ  โดยยึดค่า %K เป็นหลักนะครับ  

โซน แรกคือ โซนตัวเลข 0-20% โซนนี้ จัดให้อยู่ในโซน "Oversold หรือสภาวะที่มีการขายหุ้นมากเกินไป"  และโซนที่สองคือโซนตัวเลข 80-100%  จะจัดให้อยู่ใน "สภาวะที่หุ้นมีการซื้อมากเกินไป หรือ Overbought"



3. Bullish Divergence และ Bearish Divergence

สำหรับประเด็นนี้ แนวคิดต่างๆ ก็จะเหมือนกับ MACD และ RSI ครับ

เมื่อใดที่เกิด Divergence ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะจะเป็นนัยว่า หุ้นจะเปลี่ยน Trend ในอนาคตอันใกล้นี้
การเกิด Divergence แต่ละครั้ง มักจะใช้เวลาที่มากพอสมควรในการก่อตัวเป็นรูปร่าง Divergence
และหากเกิด Divergence ในเขต Overbought หรือ Oversold ก็ยิ่งถือว่ามีนัยยะด้วยครับ

หลักการอ่าน  STOCHASTICS
สัญญาณเตือน “ซื้อ” เกิดขึ้นเมื่อเส้น  STOCHASTICS เข้าเขต  OVERSOLD ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณ “ซื้อ” จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้น

สัญญาณเตือน “ขาย” เกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต OVERBOUGHT ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80% และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณ “ขาย” จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลง
 


การใช้ MACD ช่วยวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน


MACD เป็นเครื่องมือที่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับราคา (TREND FOLLOWING) สามารถใช้วัดระดับ (DEGREE) ตลาดว่าเป็นตลาดขาขึ้น หรือตลาดขาลง 

ค่ามตรฐานสำหรับ MACD อยู่ที่ 12,26,9 ผู้เทรดสามารถใช้ MACD เพื่อช่วยในการระบุพฤติกรรมของเทรนหรือราคาได้เช่น ราคากำลังเป็นเทรน

ราคากำลังชะลอตัวหรือสะสมแรง หรือ ราคากำลังจะกลับตัว MACD มีส่วนประกอบอยู่ 3 อย่างคือ


1. เส้น Moving Average
2.แท่ง Histogram
3.เส้น Zero Line


MACD แบบ Histogram สามารถบอกผู้เทรดได้ถึงภาวะของเทรนซึ่งมีอยู่ 3 สถานะคือ

1. สภาวะที่กราฟเป็นเทรน

2. สภาวะที่กราฟชะลอตัว

3. สภาวะที่กราฟกลับตัว


สัญญาณจาก MACD แบบ Histogram ที่บ่งบอกว่าราคาเป็นเทรนขึ้น (UPTREND) เมื่อกลุ่มของแท่ง Histogram สามารถยืนเหนือเส้น Moving Average

ใน MACD ได้และเส้น Moving Average ใน MACD และกลุ่มของ Histogram สามารถยืนเหนือเส้น Zero Line ได้ จากนั้นแท่ง Histogram ลู่ขึ้นเรื่อย ๆ



สัญญาณจาก MACD แบบ Histogram ที่บ่งบอกว่าราคากำลังชะลอตัว (UPTREND SIDEWAY) กลุ่มของ Histogram อยู่ต่ำกว่าเส้น Moving Average

ใน MACD และเส้น Moving Average ใน MACD และกลุ่มของ Histogram สามารถยืนเหนือเส้น Zero Line ได้


สัญญาณจาก MACD แบบ Histogram ที่บ่งบอกว่าราคากำลังกลับตัวจากเทรนขึ้นเป็นลง (Reversal) เมื่อกลุ่มของ Histogram อยู่ต่ำกว่าเส้น
Moving Average ใน MACD จากนั้นแท่ง Histogram ลู่ลงเรื่อย ๆ และเส้น Moving Average ใน MACD และกลุ่มของ Histogram

สามารถยืนอยู่ใต้เส้น Zero Line


วิธีการเทรดจาก MACD 

ผู้เทรดไม่จำเป็นต้องรอให้ Histogram หรือเส้น Moving Average ใน MACD ตัด Zero Line เมื่อเห็นแท่ง Histogram

เริ่มตัดกับเส้น Moving Average ผู้เทรดสามารถเทรดตามทางนั้นได้เลยครับ เพราะมันจะเป็นการเข้าที่ภาวะราคาชะลอตัวพอดี



Credit http://www.thaiforexschool.com

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ควรเทรด Forex คู่ไหนก่อน? เหตุผลที่ต้องการย้ำมือใหม่


คำถามสุดฮิตที่มักจะถามกันก็คือ ควรเริ่มเล่น Forex คู่ไหนดี? แล้วควรเทรด Forex เวลาไหน? วันนี้มาสรุปข้อมูลเพื่อย้ำความเข้าใจอีกที ให้นักเทรดฟอเร็กซ์มือใหม่ได้หายสงสัยกัน การเริ่มต้นของแต่ละคนเหมือนกัน แต่ความรู้ และทักษะแตกต่างกัน การเทรดฟอเร็กซ์ในช่วงแรกจะมีข้อมูลให้ศึกษามากมาย เข้าใจง่าย และมีสังคมออนไลน์เกี่ยวกับเรื่องฟอเร็กซ์โดยเฉพาะ เรามาเริ่มดูคำตอบกันเลยนะครับ

ข้อแรก ควรเริ่มเล่น Forex คู่ไหนดี?
เริ่มเล่น ผมแนะนำ EUR/USD เพราะ Spread ไม่มาก คู่นี้ Swing ไม่แรง และ อ่านกราฟ อ่าน Pattern ได้ง่ายกว่าคู่อื่นๆ และที่สำคัญ EUR/USD เป็นคู่ที่คนนิยมเล่นกันเยอะ ดังนั้นเราจะสามารถหาข้อมูล เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจได้ง่าย และ หลากหลายกว่าเล่นคู่อื่นๆ เมื่อเริ่มจะพอมี ประสบการณ์ หรือมีความชำนาญมากขึ้นแล้ว อาจจะค่อยๆ ขยับไปเล่นคู่ที่แรงกว่านี้ก็ได้ครับ เช่น GBP/JPY (วิ่งแรงถึงใจหลายๆ ท่าน)หรือ GBP/USD

ข้อสอง ควรเทรด Forex เวลาไหนดี?
ถ้าเลือกเล่น EUR/USD ตามที่ผมบอกข้างบน ก็ควรเทรดที่ช่วงเวลา 14.00 - 22.00 (เวลาไทย) จะดีที่สุดครับ และช่วงวิ่งแรงของคู่นี้ก็คือ 19.00 - 21.00 (เวลาไทย) เพราะช่วงนี้จะเป็นช่วงคาบเกี่ยวกันของการเปิดทำการของตลาด EUR กับ ตลาด USD ช่วงคาบเกี่ยวกันนี้กราฟจะวิ่งเยอะ เหมาะกับการเทรด

เพิ่มเติมสำหรับช่วงเวลาทำการของตลาด

ตลาด Forex นั้นมีหลายแห่งในโลก มีเวลาการเปิดปิดที่คาบเกี่ยวกัน ทำให้เราสามารถลงทุนได้ตลอด 24 ชั่วโมง ยกเว้นวันเสาร์-อาทิตย์ โดยตลาดต่างๆ มีเวลาเปิดปิดดังนี้

ตามเวลาประเทศไทย ตลาดจะเปิดทำการตั้งแต่เวลาตี 4 ของเช้าวันจันทร์ และปิดตี 4 ของเช้าวันเสาร์ (รวม 120 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) ข้อมูลดังกล่าวตามเวลาของประเทศไทย

ตลาด USD = US Dollar เปิดเวลา 19.00 น. ถึงตี 3

ตลาด GBP = British Pound เปิดเวลา 14.00 - 22.00 น.

ตลาด EUR = Euro เปิดเวลา 13.00 - 21.00 น.

ตลาด CHF = Swiss Franc เปิดเวลา 13.00 - 21.00 น.

ตลาด JPY = Japanese Yen เปิดเวลา 7.00 - 14.00 น.

ตลาด AUD = Australian Dollar เปิดเวลา 5.00 - 13.00 น.

ขอแนะนำเพิ่มเติมว่า ถ้าเพิ่งเริ่มเล่น forex ใหม่ๆ ควรจะเล่นคู่นั้นๆ ให้ชำนาญ และไม่ควรเล่นหลายคู่เกินไป เพราะจะอาจจะทำให้พะวักพะวงได้ครับ ชำนาญแล้วค่อยขยับไปศึกษาคู่อืนเพิ่มเติม

ส่วนตัวผมเองในช่วงแรกก็ไม่รู้ข้อมูลมาก เลยทดลองเปิด Order หลายคู่ สิ่งที่มองเห็นคือความแตกต่างจากองค์ประกอบบางอย่าง ทั้ง Spread, Lot, Bid, Ask, พฤติกรรมกราฟ ฯลฯ เป็นต้น การคำนวนจะแตกต่างกัน และหลังจากรู้ว่ามีความเสี่ยงมากถ้าเล่นมั่ว ๆ เลยลดขอบเขตเหลือเพียงคู่เดียว คือ EURUSD (E/U) แล้วศึกษาพฤติกรรมกราฟ พร้อมกับความเป็นไปได้ของ Indicators เล่ยคิดว่า E/U เหมาะสมที่จะเล่นในช่วงเริ่มต้น ส่วนปัจจัยเหตุผลอื่นๆ มีอีกมากมายเลยครับ

มาถึงตรงนี้ หลายๆ ท่านคงจะเลือกคู่ที่จะเล่นได้แล้วนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เทคนิคซื้อทองให้รวย

หลายคนยังนิยมซื้อทองคำเพื่อการลงทุน แต่ใช่ว่า ทุกคนที่ลงทุนทองคำจะได้กำไร เพราะหากลงทุนผิดจังหวะ หรือผิดวิธีก็อาจขาดทุนได้ เราจึงมี 5 เทคนิคซื้อทองให้รวยมาฝากกันคะ


1. เลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนให้เหมาะกับตัวเอง หากต้องการลงทุนทองคำ ปัจจุบันมีเครื่องมือในการลงทุนหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ กองทุนทองคำ และ Gold Futures
ทองคำแท่งนับเป็นรูปแบบการลงทุนที่หลายคนคุ้นเคย โดยเหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ส่วนทองรูปพรรณอาจไม่เหมาะกับการลงทุนมากนัก เพราะทองรูปพรรณมีการคิดค่ากำเหน็จ ซึ่งจะทำให้กำไรจากการลงทุนลดน้อยลงไปได้ แต่ก็มีข้อดีคือ สามารถนำมาสวมใส่เป็นเครื่องประดับ ข้อควรระวังหลักของการลงทุนทองคำแท่งและทองรูปพรรณคือ การเก็บรักษา เพราะมีความเสี่ยงที่ทรัพย์สินจะสูญหายได้

ส่วนกองทุนทองคำนั้นเป็นรูปแบบการลงทุนที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะสามารถซื้อขายได้ง่าย ไม่ว่าจะซื้อผ่านธนาคารที่เป็นตัวแทนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือผ่านอินเทอร์เน็ต อีกทั้งยังปลอดภัยไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บรักษา และมีโอกาสได้รับเงินปันผล (กรณีที่กองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผล) โดยการลงทุนกองทุนทองคำเหมาะกับนักลงทุนทั้งระยะสั้นและระยะยาว ส่วน Gold Futures หรือสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า จัดเป็นการลงทุนทองคำที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในการลงทุนทองคำทั้ง 4 รูปแบบ เนื่องจากเป็นการลงทุนในสัญญาอนุพันธ์ที่ราคาของ Gold Futures จะเปลี่ยนแปลงตามราคาทองคำ เมื่อราคาทองคำมีการเคลื่อนไหว ราคาของ Gold Futures จะเปลี่ยนแปลงในสัดส่วนที่มากกว่า โดยสามารถทำกำไรได้ทั้งในช่วงราคาทองคำเป็นขาขึ้นและขาลง และเหมาะกับนักเก็งกำไรระยะสั้น

2. ตั้งเป้าหมาย การลงทุนทองคำอาจแบ่งได้เป็นการลงทุนระยะสั้นและระยะยาว ในการลงทุนระยะสั้น การติดตามแนวโน้มทางเทคนิคของราคาทองคำเป็นสิ่งสำคัญ หากราคาทองคำมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น เรายังคงสามารถถือลงทุนทองคำต่อได้ แต่หากราคามีแนวโน้มเป็นขาลง หรือหลุดแนวรับสำคัญทางเทคนิค เราอาจจะต้องตัดใจขายทองคำในราคาที่ขาดทุนออกไปก่อน เพราะหากถือต่อไปจะทำให้ไม่มีเงินสด เพื่อซื้อลงทุนรอบใหม่ได้ ส่วนผู้ที่ตั้งใจลงทุนระยะยาว หากราคาทองคำปรับตัวขึ้น ก็ต้องตั้งมั่นและถือทองคำให้ได้ตามเป้า โดยไม่รีบขายทองคำออกไป ส่วนเมื่อราคาทองคำปรับลดลง ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ซื้อทองคำในราคาที่ถูกลง อีกหนึ่งเทคนิคที่ผู้ลงทุนทองคำระยะยาวควรใช้คือ การซื้อทองคำอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกเดือน (Dollar Cost Averaging) เพื่อถัวเฉลี่ยราคา และลดความเสี่ยงจากการลงทุนได้ค่ะ


3. กำหนดสัดส่วนเงินลงทุนในทองคำ แม้หลายคนจะรู้สึกว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย สามารถทยอยซื้อสะสมได้อย่างต่อเนื่อง แต่จริงๆ แล้ว ทองคำถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทหนึ่ง ซึ่งนับว่ามีความเสี่ยงที่สูง ดังนั้น สัดส่วนเงินที่ลงทุนในทองคำควรมีไม่เกิน 5-10% ของเงินลงทุน หากเราไม่ได้มีการกันเงินเพื่อลงทุนในทองคำอย่างชัดเจน อาจทำให้มีสัดส่วนเงินลงทุนในทองคำมากจนเกินไป ซึ่งทำให้พอร์ตลงทุนของคุณมีความเสี่ยงสูงกว่าที่คาดไว้

4. ติดตามข่าวสารข้อมูล หลากหลายปัจจัยที่มีผลกับการขึ้นลงของราคาทองคำ เช่น การเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ภาวะเศรษฐกิจโลก ความต้องการใช้ทองคำเพื่อเป็นเครื่องประดับ แนวโน้มทางเทคนิคของราคาทองคำ เป็นต้น หากคิดอยากลงทุนทองคำให้ได้กำไร เราควรติดตามปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลกับราคาทองคำอย่างใกล้ชิด เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างกำไรค่ะ

5. ปรึกษาผู้รู้ แม้เราจะรู้สึกคุ้นเคยกับการลงทุนทองคำ แต่ปัจจุบันราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวน ยิ่งใครที่ลงทุนทองคำในช่วงนี้ จะรู้สึกว่าทำกำไรจากทองคำได้ยากขึ้น ดังนั้น การปรึกษาหรือสอบถามกับผู้มีความรู้เรื่องการลงทุนทองคำจะช่วยให้เราทำกำไรจากทองคำได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ที่ลงทุนใน Gold Futures สามารถสอบถามได้จากเจ้าหน้าที่การตลาดที่ให้การดูแลค่ะ สำหรับผู้ที่ลงทุนในกองทุนทองคำ สามารถปรึกษาได้ที่ K-expert ทุกสาขา หรือเขียนเข้ามาสอบถามได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com  และเว็บบอร์ดในเว็บไซต์ K-Expert

นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่สนใจข่าวสารการเงินดีๆ ติดตามได้ที่ เว็บไซต์ www.askKBank.com/K-Expert  และยังสามารถติดตามข่าวสารราคาทองคำรายวันและแนวโน้มราคาทองคำได้ที่Twitter@ KBank_Expert


แหล่งที่มา http://www.dailynews.co.th

Nial Fuller เทรดเดอร์ค่าเงินสไตล์ Price action

Nial Fuller คือเทรดเดอร์อิสระที่เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเทรดเดอร์ค่าเงินสไตล์ price action ที่พยายามเผยแพร่แนวคิดและวิธีการในการทำกำไรของเขาผ่านเว็บไซต์ส่วนตัว ด้วยแนวคิดที่เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน บวกกับความสามารถในการถ่ายทอดที่ทำให้มือใหม่ทั้งหลายสามารถเรียนรู้ได้ ทำให้เขาเป็นอาจารย์สอนเทรดค่าเงินที่มีผู้ติดตามมากที่สุดคนนึง ในแต่ละปีจะมีผู้ติดตามอ่าน website ของเขามากกว่า 500,000 คน 
เทคนิคการเทรดค่าเงินของ Nial นั้นจะใช้สไตล์ price action เท่านั้น เขาจะไม่สนใจอินดิเคเตอร์ โดยหลักการของเขาคือเขาจะพิจารณาว่าราคาได้ “กระทำต่อ” แนวรับแนวต้านอย่างไร รวมถึงการดูรูปแบบการฟอร์มตัวของแท่งเทียน เพื่อหาจังหวะเข้า order เขาอธิบายว่า กราฟที่ดูสับสนวุ่นวายด้วย indy เต็มหน้าจอ นอกจากจะทำให้คุณเครียดเพราะเข้าใจมันยากแล้ว คุณยังต้องปวดหัวกับการตีความมันด้วย สุดท้ายคุณคงต้องสับสนในตัวเองแน่ๆ เขาบอกว่าทำไมคุณไม่ทำให้มันง่ายกว่านั้นล่ะ ในเมื่อกราฟเปล่าๆ ก็สามารถช่วยให้คุณหาแนวโน้มและทิศทาง รวมถึงหาจังหวะเข้าเทรดได้เหมือนกัน


Messy Chart
Clean Chart
สำหรับวิธีการเทรดโดยใช้ price action นั้น Nail เผยว่าเขาใช้หลักการฟอร์มตัวของแท่งเทียนเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการกลับตัวแบบ Pin bar ,การฟอร์มตัวของ inside bar และ fakey ในการพิจารณาแนวโน้มของราคารวมถึงการหาจังหวะเขาเทรด

คุณต้องทำให้การเทรดของคุณเป็นเรื่องที่เรียบง่าย และที่สำคัญคือคุณต้องวางแผนการเทรดก่อนการเข้าเทรดทุกครั้ง เพื่อเป็นการควบคุมอารมณ์ของคุณ ไม่ให้ความโลภมาครอบงำคุณในช่วงเวลาที่ลงสนามจริง เพราะสิ่งที่จะตัดสินว่าคุณจะทำกำไรจากตลาดแห่งนี้ได้อย่างสม่ำเสมอหรือไม่ไม่ใช่ระบบเทรด ไม่ใช่วิธีการเข้า order แต่มันคือความสามารถในการควบคุมอารมณ์และจิตใจที่เข้มแข็งเท่านั้น
คุณเป็นเทรดเดอร์สไตล์ไหน Day trader หรือ Swingtrader? 
Nial Fuller : ในทางทฤษฎีผมเป็นทั้งสองแบบครับ มันขึ้นกับสภาวะตลาดและรูปแบบการฟอร์มตัวของแท่งเทียนที่ผมเห็นโอกาสในการเข้าเทรด ผมจะเทรดใน Time frame 4 ชั่วโมง และ 1 วัน นั่นทำให้ผมมีโอกาสในการเข้า order ทั้งขาขึ้นและขาลง อืม….ผมว่าคงเป็นเพราะสไตล์การเทรดที่มีความยืดหยุ่นของผมที่ทำให้ผมไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองเป็นเทรดเดอร์สไตล์ไหน แต่ถ้าให้ตอบจริงๆ ก็นั่นแหละครับ ผมเป็นได้ทั้งสองอย่าง
คุณใช้กราฟ Time frame ไหนในการเทรด?
Nial Fuller : อย่างที่ผมบอกไปแล้ว ผมจะเทรดบนกราฟ 1 วัน, 4 ชั่วโมง และบางครั้งก็ 1 ชั่วโมงด้วย ผมสนับสนุนให้เทรดโดยการใช้ price action ใน time frame ที่ใหญ่หน่อย ในความเห็นผม ผมว่านี่เป็นสาเหตุที่ทำไมคนส่วนใหญ่จึงล้มเหลวในการเทรดค่าเงิน พวกเขายึดติด และมัวแต่เพ่งหน้าจอในกราฟย่อยๆ ทำให้พวกเขามองไม่เห็นภาพรวมของตลาด ผมจะเทรดด้วยแนวคิดและแผนการที่มีความชัดเจนใน time frame เหล่านี้ โดย TF 1 วัน จะสามารถบอกเทรนของราคา ระดับราคาที่มีนัยต่อการกลับตัว แนวรับแนวต้าน ผมว่านี่คือสิ่งที่มือใหม่ควรจะเรียนรู้

หลักการพื้นฐานของกลยุทธ์ในการเทรดของคุณคืออะไร ?
Nial Fuller : ผมใช้ Price action ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เรียบง่าย ไม่มี indicators โดยทั่วไปผมจะเทรดตามเทรนร่วมกับการใช้ระดับของราคาที่มีนัยในการมองทิศทาง โดยใช้รูปแบบการกลับตัวของ Price action ในการ confirm สัญญาณการเข้า order
สิ่งที่ผมทำอยู่มันเป็นอะไรที่เรียบง่าย และระหว่างเทรดผมจะไม่เปลี่ยนแผนกลางคัน เพราะผมจะเชื่อมั่นในเหตุผลที่ผมเข้าเทรด โดยมันจะต้องมีเหตุผลหรือปัจจัยที่จะยืนยันสัญญาณการเข้าเทรด ซึ่งผมใช้ระดับราคาและแนวโน้มหลักในการยืนยันสัญญาณ price action โดยถ้ามันขัดแย้งกันผมก็จะไม่เทรด

คุณเทรดบ่อยแค่ไหน ?
Nial Fuller : ผมต้องขอบอกว่าเฉลี่ยแล้วผมจะเทรดประมาณ 3-4 ครั้งต่อหนึ่งอาทิตย์ ผมรู้ว่ามันฟังดูน้อยแต่เพราะผมต้องการรักษาวินัยในการเทรด ผมจึงหลีกเลี่ยงการเทรดที่มีสัญญาณ confirm ไม่ครบตามกฎของผม จริงๆแล้วมันก็มีโอกาสที่จะเข้าเทรดได้มากกว่านี้ แต่ด้วยประสบการณ์ในการเทรดของผมเกือบ 10 ปี ทำให้ผมพยายามกรองและเลือกเทรดเฉพาะในโอกาสที่มีความน่าจะเป็นมากที่สุด ในอดีต ผมเคยเทรดมากครั้งเกินไปและนั่นทำให้ผมสูยเสียเงินไปจำนวนมากโดยไม่จำเป็น ดังนั้นวันนี้ผมจึงพยายามเลี่ยงที่จะเสียต้นทุนค่าเรียนรู้เหล่านั้น

คุณ set เป้าหมายในการเทรดอย่างไรต่อสัปดาห์หรือต่อเดือน?
Nial Fuller : ผมไม่เชื่อว่าเราจะสามารถวางแผนได้จริงๆหรอกว่าเราสามารถทำเงินได้เท่าไรในแต่ละสัปดาห์หรือในแต่ละเดือน ผมว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่าคือเราต้อง focus ในแต่ละการเทรด ผมแค่พยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่ผมทำได้ เทรดเดอร์หลายคนอาจจะสามารถตั้งเป้ากำไรจากการเทรดของเขาในแต่ละสัปดาห์ แต่นั่นไม่ใช่ผม ผมแค่พยายามวางแผนและวางเป้าในแต่ละไม้ โดยเป้าของผมคือการเทรดที่มี risk/reward ratio = 2: 1 เป็นอย่างน้อยในแต่ละการเทรด

อะไรที่คุณคิดว่าทำให้คุณกลายเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ?
Nial Fuller : ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมได้พยายามตระหนักถึงเรื่องนี้เหมือนกัน ซึ่งผมได้พบว่าสิ่่งที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จในการเทรดนั้น มี 3 ปัจจัยด้วยกัน อย่างแรกก็คือ ผมมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตัวผม นั่นก็คือ การใช้ price action มันเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ซับซ้อนและผมสามารถเข้าใจมันด้วยเหตุผลง่ายๆ แต่ถึงแม้วิธีการเทรดจะสำคัญแต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด อีกปัจจัยคือการที่ผมเริ่มเขียน blog เริ่มเขียนบทวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มตลาด เผยแพร่การเดินทางในการเป็นเทรดเดอร์ของผมเป็นประจำ สิ่งนี้มันทำให้ผมมีวินัยและอยู่กับตลาดตลอดเวลา ส่วนปัจจัยสุดท้ายก็คือการที่ผมไม่เสพติดการเทรด ผมพยายามไม่ให้การเทรดมามีผลต่อวิถีชีวิตของผมมากเกินไป ผมจะไม่เฝ้าดูกราฟตลอดเวลา ผมจะเข้า order แล้วปล่อยให้มันวิ่งไปตามแผนการที่ผมวางไว้ จำไว้ว่าการเฝ้าดูกราฟมากเกินไปจะทำให้อารมณ์มามีผลต่อการเทรดในที่สุด

ขอบคุณ ::  Btrader

เล่นหุ้นไทยผ่านโบรกเกอร์ EXNESS

วิธีเลือกเล่นหุ้นไทยผ่านโบรกเกอร์EXNESS

1.ในช่องMarket Watchหุ้นไทยจะลงท้ายด้วยคำว่า SET เช่น #PTT-SET #DTAC-SET #KBANK-SET #KTB-SET #BANPU-SET จากภาพด้านล่าง คลิ๊กขวาเพื่อเรียกดูกราฟ#DTAC-SET




2.หากในช่องMarket Watchของท่านไม่ปรากฎหุ้นใดๆให้ท่านเลือกคลิ๊กขวาจากนั้นเลือกSymbols



3.เลือกSET จากนั้นคลิ๊กคำว่า Show



4.หุ้นไทยจะปรากฎในช่องMarket Watch คลิ๊กขวาบริเวณหุ้นที่ต้องการเทรด เลือกNew Orderเพื่อส่งคำสั่งซื้อหุ้นดังกล่าว



5.หุ้นไทยที่ท่านสามารถเทรดผ่านโบรกเกอร์EXNESSได้มีดังนี้


หุ้นไทยสามารถเข้าเทรดได้เฉพาะเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทยเปิดทำการเท่านั้น

วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

นักเทรดแบบ Price Action

นิสัยของนักเทรดแบบ Price Action ที่ประสบความสำเร็จ

นิสัย และ ตารางประจำวัน ของนักเทรดแบบ Price Action ที่ประสบผลสำเร็จ

การเทรดที่ประสบความสำเร็จ เป็นผลมาจาก การมีวินัย และการมีตาราง ที่เซ็ตไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นส่วนประกอบ ของนักเทรดฟอร์เร็กซ์ที่มีวินัย เราอาจจะเผลอ ไม่ทำตามกฏได้ง่ายมาก และ ทำให้ใช้อารมณ์มาติดสินใจ จนทำให้ เกิดความผิดพลาด ในฐานะเทรดเดอร์ คุณต้องหยุดเหตุการณ์เหล่านี้ให้ได้ โดยการเซ็ตตารางประจำวัน ที่คุณต้อง ปฏิบัติตามทุกวัน ตารางประจำวันจะช่วยเพิ่มความมีวินัย และทำให้คุณรักษาวินัยในการเทรด ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง มีความสำคัญ ต่อการพัฒนาจิตใจของคุณ และนำไปสู่กำไรระยะยาว อย่างแท้จริง ถ้าคุณยังไม่ได้เซ็ตตารางประจำวัน ที่ใช้ในการเทรด คุณต้องเริ่มพัฒนาขึ้นมาซักชุดหนึ่ง แล้วตลาดจะไม่สามารถ ทำอันตรายกับบัญชีเทรดคุณได้ ยิ่งคุณสามารถทำตามตารางการเทรดได้ตามจุดประสงค์ ที่สัมพันธ์กับตลาด คุณก็จะเผชิญกับ การใช้อารมณ์ในการเทรด น้อยลงเท่านั้น

• กำหนดเวลาดูหน้าจอที่แน่นอนในแต่ละวัน
หน้าที่อย่างแรก ในแต่ละวันของนักเทรดแบบ Price Action คือ ต้องรู้ว่า เมื่อไหร่คุณ ควรจะวิเคราะห์ตลาด คุณต้องใส่ใจกับงาน และ หน้าที่การงาน งานประจำของคุณ เช่นเดียวงานประจำในครอบครัว ถ้าคุณพบว่า เวลาที่คุณมี พอที่จะดูหน้าจอได้ นั่นก็คือ เวลาก่อนนอน คุณก็สมควรจะใช้เวลานั้น ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ ที่เรา ควรใช้ดูตลาด ก็คือ ราว 4 - 5 โมงเย็น (หมายถึงเวลา สหรัฐฯ) ซึ่งเป็นเวลาเปิดของตลาดยุโรป ตอนนี้ คุณจะ อยู่ถึงตีหนึ่ง - ตีสองก็ไม่มีใครว่า แต่คุณต้องวิเคราะห์ตลาด ในเวลานี้ทุกวัน

เมื่อเลือกแล้วว่า ช่วงเวลาไหนที่คุณสามารถใช้เวลาดูกราฟได้ ควรจะเลือกว่า คุณต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ในการ วิเคราะห์ ในการเทรดแบบ Price action หรือ ใช้ในการดูว่า ออร์เดอร์ที่คุณเปิดก่อนหน้า เป็นอย่างไร การกำหนด เวลา ในการเฝ้าดูหน้าจอ มีส่วนสำคัญมากในการฝึกใจ และ ความสำเร็จในการเทรด เทรดใน Time Frame daily ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความกดดันมากนัก และ เป็น Time Frame ที่ได้ผลดีด้วย เมื่อคุณเริ่มมีทักษะในการเทรด แบบ price action คุณก็สามารถดูคู่เงินแต่ละคู่ ที่เทรดในช่วงเวลาที่กำหนดได้ ถ้าหากว่าคู่ที่คุณกำลังดูอยู่ ไม่มี การเกิดรูปแบบที่คุณตั้งไว้ คุณก็ไปเทรดคู่อื่น ๆ ถ้าคุณไม่เจอรูปแบบที่คุณอยากจะเทรด ก็ไม่ควรจะเทรดในวันนั้น เพราะ ถ้าขืนคุณยังดื้อดึง คุณจะเจ็บตัว และไม่ประสบความสำเร็จในฐานะนักเทรดในระยะยาว เพราะคุณจะเริ่ม วิเคราะห์มากเกินไป แล้วพยายามหาเหตุผลในการเทรดตลอดเวลา คุณจะรู้ว่ามันจะทำให้เสียเงินได้

• ทำตามแผนการเทรดแบบ Price Action
ถ้าคุณคือ นักเทรดแบบ Price Action คุณจะรู้ว่า คุณกำลังมองหารูปแบบกราฟแบบไหนอยู่แต่ละวันในตลาด เมื่อคุณรู้ ก็ควรจะเขียนลงไป และกำหนดแผนการเทรดที่คุณกำลังจะเข้าเทรดในแต่ละวันกับเวลาที่คุณมี ถ้าไม่สามารถกำหนดแผนที่เป็นตัวตน คุณควรจะรีบวางแผนอะไรไว้ได้แล้ว ท่องในใจตลอดว่า ต้องทำตามแผน การเทรดทุกวัน อ่านทุกวัน แผนการที่ชัดเจนควรจะมี จุดเข้า จุดออก กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง และมีเป้าหมาย ระยะยาว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญ ในแผนการเทรดที่ควรมีไว้เป็นอย่างน้อย

ตามเป้าหมายของแผนการเทรดของคุณ ทำให้คุณทำตามแผนได้อย่างแน่นอนในแต่ละวัน ช่วยให้มีสมาธิ ยังเป็น แนวทางในแต่ละวันให้คุณในการวิเคราะห์ตลาด การวิเคราะห์ตลาดจะต้องเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งนักเทรดส่วนใหญ่ ไม่มีขั้นตอนในการวิเคราะห์ หรือ ไม่มีตาราง ซึ่งจะนำไปสู่การเทรดแบบไม่มีแบบแผน แล้วคุณจะสามารถเป็น นักเทรดที่มีวินัย และวิเคราะห์เป็นขั้นเป็นตอนได้อย่างไร? ถ้าคุณไม่มี แม้กระทั่งแผนการว่า คุณกำลังทำอะไรอยู่ พวกวิศวะกรสร้างบ้านโดยไม่มีพิมพ์เขียวหรือ? ไม่ แน่นอน มันจะพังทลาย และไม่แข็งแรง และแน่นอน ทุก ๆ คนที่พยายาม อยากจะเป็นนักเทรดฟอร์เร็กซ์มืออาชีพ ถึงรู้สึกว่าแผนการเทรดนั้น สำคัญขนาดไหน การกระทำต่าง ๆ ในลักษณะนิสัยที่เป็นขั้นเป็นตอน กับตลาดที่ไม่สามารถควบคุมได้ อย่างตลาดฟอร์เร็กซ์นั้น เป็นหัวใจ ในการทำกำไร ไม่มีพื้นที่สาหรับคำว่าโชค ในหน้าพจนานุกรมการเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จระยะยาว และ การเป็นนักเทรดมืออาชีพ ก็ไม่ต้องอาศัยโชค เพราะว่าสิ่งที่เราต้องมี คือ แผนการเทรด

• บันทึกการเทรด
การบันทึกการเทรดนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ที่คุณอาจจะไม่เคยคิดถึงมันเลย ในหนังสือที่สอนเกี่ยวกับการเทรด หลาย ๆ เล่ม มักจะพูดถึงการบันทึกการเทรด และกล่าวว่า คุณควรจะเขียน แม้กระทั่งว่าคุณใช้ค่าอะไรบ้าง ในการเทรด เพื่อที่จะวิเคราะห์ได้ว่า ทำไมคุณถึงผิด ทำไมคุณถึงถูก และขณะที่กำลังบันทึกข้อมูลเหล่านี้ ผมรู้สึกว่า ผมลืมอะไรไปอย่าง การประสบความสำเร็จในการเทรดนั้นขึ้นอยู่กับว่า จัดการกับอารมณ์ของคุณได้ดีขนาดไหน คุณค่าที่แท้จริงของการทำบันทึกประจาวัน ที่ให้คุณได้คือ การประเมินว่า คุณรู้สึกอย่างไรในแต่ละวันที่คุณเทรด เกี่ยวกับกิจกรรมการเทรดของคุณ และยังเป็นแบบประเมินสถานะอารมณ่ของคุณ แต่ละวันด้วย

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ที่คุณจะต้องเขียนว่า คุณรู้สึกอย่างไรก่อนการเทรด และ หลังการเทรด เขียนลงไปด้วย ถ้าคุณกำไรแล้วคุณรู้สึกอย่างไร คุณขาดทุนแล้วคุณรู้สึกอย่างไร สิ่งนี้จะให้คุณสองอย่าง คือ มันจะช่วยให้คุณ ทำทุกอย่าง ไปในทิศทางที่ถูกต้อง หลังจากที่คุณปิดออร์เดอร์ไปแล้ว ซึ่งมันจะทำให้คุณมีจิตใจนิ่งมากยิ่งขึ้น จากการที่คุณได้กำไร หรือ ขาดทุนก้อนใหญ่ และยังป้องกันไม่ให้คุณกระโดดเข้าไปในตลาด โดยทันทีด้วย และนอกจากนี้ มันจะทำให้คุณมองภาพออกว่า อารมณ์นั้นผูกติดอยู่กับความสำเร็จในการเทรดได้อย่างไร ถ้าคุณ ซื่อสัตย์ในการเขียนบันทึก คุณจะเริ่มเห็นว่า ยิ่งคุณใช้อารมณ์ในการเทรด ยิ่งจะทำให้คุณเสียเงินมากขึ้น มันเป็น ความแปรผันกัน ระหว่างอารมณ์กับเงิน ในการเทรดฟอร์เร็กซ์ ของคุณ

สิ่งอื่น ๆ ที่ควรจะบันทึกในบันทึกการเทรดของคุณอีกก็คือ คุณสามารถเขียน (หรือพิมพ์) สรุปภาวะตลาดประจำวัน ซึ่งนี่จะทำให้คุณเข้าใจสภาวะตลาด สภาวะเศรษฐกิจ หรือ ข่าวที่ออกมา และทำให้คุณระวังในสิ่งที่จะเกิด ในตลาด มากขึ้น มันจะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาในแต่ละวัน และยังทำให้มอง ภาพรวมตลาดออก ถ้าคุณต้องทำธุระ และไม่ได้เทรด ซักหนึ่งสัปดาห์ เมื่อคุณกลับาแล้วอย่ารีบเทรดทันที ให้คุณทำการบันทึกสรุป สภาวะตลาด ไปซักหนึ่งอาทิตย์เสียก่อน แล้วคุณจะเข้าใจและรู้สึกถึง กระแสน้ำ และกระแสการไหลของราคา เพราะการเข้าใจทิศทางของราคา มีความสำคัญมาก

• ทำจิตใจ และร่างกายให้สะอาด ดีกว่าเอาเวลาไปนั่งเฝ้าหน้าจอเพิ่ม
อย่างที่ได้เกริ่นมาก่อนหน้า การใช้เวลาในการวิเคราะห์ตลาดมากเกินไป จะทำให้คุณมีผลตรงกันข้าม ถ้าคุณพบว่า มีเวลาว่าง และอยากจะใช้เวลาเหล่านั้นในการดูกราฟ คิดว่าคุณควรจะใช้ทำงานอดิเรกดีกว่า การออกกำลังกาย จะช่วยให้คุณ ทำตามตารางชีวิตประจำวันของคุณได้ และมันจะทำให้คุณรู้สึกดีทั้งจิตใจ ทั้งร่างกายอีกด้วย การใช้เวลาในการออกกำลังกายนั้น ย่อมดีกว่า การใช้เวลาเพิ่มในการวิเคราะห์ตลาด คุณจะสามารถควบคุมตัวเอง ได้ ไม่ใช่ให้ตลาดมาควบคุมคุณ ถ้าคุณยังมีเวลาเหลือจากการออกกำลังกาย ก็ให้คุณอ่านหนังสือ เพื่อช่วยเปิด โลกทัศน์ มันไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเทรดเสมอไป คุณสามารถอ่านอะไรก็ได้ ที่ช่วยออกกำลัง สมอง ของคุณ และทำให้สมองตอบสนองได้ดี จำไว้ว่า ตารางประจาวันของคุณ เป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จ ระยะยาวในตลาด อย่าดูถูกมัน การเทรดฟอร์เร็กซ์ เป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง และ คุณก็ควรทำเหมือนกับ การประกอบ ธุรกิจ เช่นกัน ภายใต้ตารางที่แน่นอน และ เคร่งครัด ไม่แตกต่างกัน กับการเทรดฟอร์เร็กซ์

กฎ 10 ข้อเพื่อการเทรด Forex ให้ได้กำไร



"กฎ 10 ข้อเพื่อการเทรด Forex ให้ได้กำไร" เป็น 10 ข้อที่ดีมากสำหรับ Technical Analysis

คือ ถ้าเราสามารถทำตามนี้ได้นั้น ผมเชื่อว่าอย่างน้อยๆ เราแทบจะไม่ขาดทุน หรืออาจจะกำไรด้วยซ้ำไปครับ ขอแค่อย่าพยายาม "เดา" เอาเองว่ามันน่าจะขึ้น หรือมันน่าจะลงครับ ให้เราดูจากสัญญาน Indicators และก็อีกหลายๆ อย่างใน 10 ข้อนี้เป็นตัวชี้นำ หรือแนวทางครับ (เพราะหลายๆ ครั้งที่ ติดลบตัวแดง หรือขาดทุน ส่วนใหญ่ผมเชื่อว่าน่าจะมาจากการตัดสินใจในการ "เดา" เอาเองของเรามากกว่า โดยไม่รอสัญญานจาก Indicators และอีกหลายๆ อย่างประกอบครับ)

กฎ ทั้ง10 ข้อนี้ เป็นหลักการสำคัญสำหรับผู้ที่ใช้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการลงทุน เพราะหากไม่มีหลักการดังกล่าวแล้ว เราก็จะไม่สามารถกำหนดการซื้อขายที่เป็นรูปแบบได้ ซึ่งในกฎเหล่านี้จะพูดถึงการวิเคราะห์แนวโน้ม , หาจุดกลับตัว, ติดตามค่าเฉลี่ย, มองหาสัญญาณเตือน และอื่นๆ หากท่านสามารถเข้าใจและ ปฎิบัติตามหลักการเหล่านี้ได้ผมเชื่อว่าท่าน ก็สามารถเอาตัวรอด ด้วยการลงทุนโดยใช้หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้ครับ

มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ

1. ตามแนวโน้ม

ศึกษากราฟระยะ ยาว เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์กราฟรายเดือน และรายสัปดาห์ ด้วยการดูย้อนหลังหลายปี โดยการทำแบบนี้ จะทำให้มีมุมมอง ระยะยาว ต่อตลาดได้ดีขึ้น ขณะที่ศึกษากราฟระยะยาวจบแล้ว ควรศึกษากราฟรายวัน และกราฟเทรดภายในวัน การดูกราฟระยะสั้นเพียงอย่างเดียว อาจทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิดได้ แม้ว่าคุณจะทำการซื้อขาย ในระยะที่สั้นมากๆ ก็ตาม คุณจะซื้อขายได้กำไรมากขึ้น ถ้าคุณซื้อขายในทิศทางเดียวกับแนวโน้มระยะกลาง และระยะยาว...

2. พุ่งเป้าไปที่แนวโน้ม และไปกับมัน

ตัดสิน แนวโน้ม และซื้อขายตามแนวโน้มตลาด แนวโน้มตลาดแบ่งเป็น 3 รูปแบบคือ ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว เริ่มแรก ควรที่จะใช้กราฟก่อนที่จะเทรด คุณต้องแน่ใจก่อนว่า คุณทำตามทิศทางเดียวกับในแนวโน้มตลาด ซื้อเมื่อแนวโน้มขึ้น ขายเมื่อแนวโน้มลง ถ้าคุณเทรดในระยะกลาง ควรใช้กราฟวัน และรายสัปดาห์ ถ้าคุณเดย์เทรด ควรใช้กราฟวัน และกราฟการซื้อขายภายในวัน แต่ในแต่ละกรณี ควรใช้กราฟระยะยาว ตัดสินแนวโน้ม และใช้กราฟระยะสั้น ตัดสินช่วงจังหวะเวลาซื้อขาย...

3. หาจุดต่ำสุด และสูงสุดของมัน

หาระดับแนวต้าน (Resistance) และแนวรับ (Support) ตำแหน่งที่ดีสำหรับการซื้อคือ ซื้อใกล้กับแนวรับ โดยที่แนวรับนั้น ใกล้เคียงกับจุดต่ำสุดของเดิม ตำแหน่งที่ดีสำหรับการขายคือ ใกล้เคียงกับแนวต้าน (ตีความได้ว่า น่าจะไม่ใช่ที่แนวต้านพอดี) แนวต้านปรกติแล้ว คือจุดสูงสุดเดิม หลังจากผ่านแนวต้านไปได้จะทำให้เกิดแนวรับใหม่ตรงจุดที่ผ่านไป หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า ราคาตรงแนวต้านที่ผ่านไป จะเป็นราคาต่ำสุดใหม่ (แนวรับในอนาคต) ในอีกขณะ ที่เมื่อแนวรับถูกทำลาย ราคาตรงตรงนั้นจะกลายเป็น จุดสูงสุดใหม่ (แนวต้านในอนาคต)...

4. เราจะมองย้อนหลังกลับไปอย่างไร

เราจะใช้การวัดเปอร์เซนต์ Retracement การที่ตลาดขึ้นหรือลง โดยปรกติจะเป็นสัดส่วนจาก แนวโน้มเดิม

(คำแนะนำทางทฤษฎี : คุณสามารถวัดการเปลี่ยนแปลงได้จากแนวโน้มที่เป็นอยู่ ในรูปแบบของ % ง่ายๆ 50% Retracement ในแนวโน้มหลัก ถือเป็นระดับปรกติ ระดับน้อยที่สุด คือ 1 ใน 3 ของแนวโน้มหลัก ระดับมากที่สุดคือ 2 ใน 3 ของแนวโน้มหลัก Retracement แบบ Fibonacci ระดับ 38.2% และ 61.8% ก็น่าสนใจ ในขณะที่เปลี่ยนเป็นแนวโน้มขึ้น จุดซื้อควรเป็นระดับที่ 33-38%)...

5. ลากเส้น

วาด เส้นแนวโน้ม (Trendline) เส้นแนวโน้มเป็นหนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุด และมีประสิทธิภาพที่สุดในเครื่องมือแบบกราฟ สิ่งที่คุณต้องการคือ เส้นตรง 1 เส้น และจุดสองจุดบนกราฟ เส้นแนวโน้มขึ้นลากจาก จุดต่ำสุด 2 จุด เส้นแนวโน้มลง ลากจากจุดสูงสุด 2 จุด ราคามักจะถูกดึงกลับไปที่เส้นแนวโน้ม ก่อนที่จะไปตามแนวโน้มต่อไป โดยการขึ้นลงผ่านเส้นแนวโน้มนั้น ปรกติจะถือว่าเป็นการเปลี่นแนวโน้ม เส้นแนวโน้มที่ใช้ได้ มักจะถูกทดสอบอย่างน้อย 3 ครั้ง เส้นแนวโน้มระยะยาว จะมีประสิทธิภาพมาก และยิ่งจำนวนครั้งที่ถูกทดสอบมีมากเท่าไหร่ ความสำคัญก็จะยิ่งมีมากขึ้น...

6. ตามค่าเฉลี่ย

ค่า เฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) จะให้สัญญาณเป้าหมาย ซื้อและขาย ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะบอกคุณว่า แนวโน้มยังอยู่ในแนวโน้มเดิม และช่วยในการทำให้แน่ใจถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม แม้ว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะไม่สามารถบอกคุณถึงอนาคตล่วงหน้าได้ อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแนวโน้มตามค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ถือว่าเป็นสิ่งที่น่า สนใจ การผสมผสานของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 2 ค่า เป็นวิธีการที่เป็นที่นิยมมาก สำหรับใช้หาสัญญาณซื้อ และสัญญาณขาย การผสมผสานสัญญาณซื้อ-ขาย ที่เป็นที่นิยมกันคือ 4 กับ 9 วัน , 9 กับ 18 วัน , 5 และ 20 วัน จะให้สัญญาณเมื่อ เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น ตัดค่าเฉลี่ยระยะยาวกว่า ตัวอย่างเช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 4 วัน (ระยะสั้น) ตัดเส้นค่าเฉลี่ย 9 วัน (ระยะยาวกว่า) ขึ้น หมายถึงสัญญาณซื้อ เมื่อราคาตัดสูงขึ้น (สัญญาณซื้อ) หรือต่ำกว่า (สัญญาณขาย) ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 40 วัน ถือว่าเป็นสัญญาณซื้อขายที่ดี โดยที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะเป็นตัวชี้การเป็นไปตามแนวโน้ม ซึ่งวิธีการใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เหล่านี้จะดีที่สุดใน ตลาดที่มีแนวโน้มอย่างชัดเจน...

7. เรียนรู้การเปลี่ยนแนวโน้ม

ตรวจ ดูเครื่องมือ Oscillators ต่างๆ เครื่องมือ Oscillators นั้น ช่วยในการหาตลาดที่เกิดภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และตลาดที่เกิดภาวะขายมากเกินไป (Oversold) ขณะที่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ให้ความแน่ใจในการเปลี่ยนแนวโน้มตลาด เครื่องมือ Oscillators จะเป็นตัวบอกว่าตลาดจะขึ้นหรือลงมากขึ้น หรือจะกลับตัวในไม่ช้า ที่เป็นที่นิยมมากคือ Relative Strength Index (RSI) และ Stochastics ทั้งสองค่านี้เป็นที่นิยมใช้ในสเกล 0 ถึง 100 ค่า RSI ที่มีค่ามากกว่า 70 ถือว่าเป็นภาวะที่ซื้อมากเกินไป (Overbought) ขณะที่ถ้าอ่านค่าได้ต่ำกว่า 30 ถือเป็นภาวะที่ขายมากเกินไป (Oversold) การซื้อหรือขายมากเกินไป สำหรับ Stochastic คือ 80 และ 20 คนส่วนใหญ่นิยมใช้ค่า 14 วัน หรือสัปดาห์ สำหรับ Stochastic และ 9 หรือ 14 วัน หรือสัปดาห์ สำหรับ RSI เมื่อตัว Oscillator เกิด Divergence บ่อยครั้ง จะแสดงถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม เครื่องมือต่างๆ เหล่านี้ ใช้ได้ดีสุดในตลาดที่ไม่มีแนวโน้ม (Sideway) สัญญาณรายสัปดาห์จะใช้กรองสัญญาณรายวัน สัญญาณรายวันสามารถใช้ในการกรองสัญญาณภายในระหว่างวัน...

8. เรียนรู้ สัญญาณเตือน

Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นการรวมระบบการตัดกันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ด้วยการวัดระดับภาวะซื้อเกินไป (Overbought) และขายเกินไป (Oversold) สัญญาณซื้อจะเกิดขึ้นเมื่อ สัญญาณที่เร็วกว่าตัดสัญญาณที่ช้ากว่า และเส้นทั้งสองเส้นต่ำกว่า 0 สัญญาณขายคือ สัญญาณที่ช้ากว่าตัดสัญญาณที่เร็วกว่า และค่าทั้งสองค่า มากกว่า 0 สัญญาณรายสัปดาห์ถือว่ามีความสำคัญเหนือกว่า รายวัน MACD Histogram วาดความแตกต่างระหว่าง 2 เส้น และให้การเตือนก่อนถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม มันถูกเรียกว่า Histogram เนื่องจากระดับความสูงของแท่ง แสดงถึงความแตกต่างระหว่าง 2 เส้นบนกราฟ...

9. มีแนวโน้ม หรือไม่มีแนวโน้ม

ใช้ Average Directional Movement Index (ADX) ใช้เส้น ADX ช่วยให้ตัดสินใจได้ว่าตลาดในขณะนั้นมีแนวโน้ม หรือไม่มีแนวโน้ม มันวัดถึงระดับการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม และทิศทางของตลาด การเพิ่มขึ้นของเส้น ADX ชี้ให้เห็นถึงการมีแนวโน้มที่มากขึ้น การลดลงของ ADX ชี้ให้เห็นถึงการที่ตลาดไม่มีแนวโน้ม การเพิ่มของ ADX แสดงให้เห็นว่า ควรใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นตัวชี้วัด การลดลงของ ADX แสดงให้เห็นว่า ควรใช้ค่า Oscillators ด้วยการลากทิศทางของเส้น ADX ผู้ซื้อขายสามารถตัดสินใจระหว่าง สไตล์ในการซื้อขาย และอะไรเป็นตัวชี้วัดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับภาวะในตลาดในขณะนั้น...

10. เรียนรู้ถึงการสนับสนุนสัญญาณการซื้อขาย

ปริมาณ การซื้อขาย (Volume) สิ่งที่สนับสนุนสัญญาณการซื้อขายนั้น ประกอบด้วยปริมาณการซื้อขายรวม และปริมาณการซื้อขายขณะเปิดทำการ เป็นสิ่งที่สนับสนุนสัญญาณการซื้อขายในตลาดล่วงหน้า ปริมาณการซื้อขายรวมมีความสำคัญมาก่อนราคา ปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นจะทำให้เชื่อได้ว่าชักจูงสู่แนวโน้ม ในขณะที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ปริมาณการซื้อขายรวมควรมากขึ้น การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายขณะเปิด เป็นสิ่งที่สนับสนุนว่า เงินใหม่ได้เข้ามาสู่ หรือชักจูงเข้ามาสู่แนวโน้ม การที่ปริมาณซื้อขายขณะเปิดลดลงบ่อยครั้ง จะเป็นการเตือนว่าแนวโนมโน้มใกล้จบลง ราคาที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ควรมีทั้งปริมาณการซื้อขายรวมที่มากขึ้น และปริมาณการซื้อขายขณะเปิดทำการ...