วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

บริหารเงินด้วย OKPay


OKPAY นำเสนอรูปแบบใหม่ของการชำระเงินแบบมาสเตอร์การ์ดด้วยบัตรเดบิตจำลอง (Virtual Prepaid MasterCard)


           ในปัจจุบัน OKPAY เป็นหนึ่งในการพัฒนารูปแบบไดนามิกทางการเงินที่มากที่สุด. OKPAY สามารถใช้ได้กับลูกค้าทั่วโลกตั้งแต่ปี 2010 ที่มุ่งเน้นให้ลูกค้าได้รับความสะดวกและเต็มปี่ยมไปด้วยการให้บริการทางการเงินที่สามารถเชื่อถือได้เสมอของบริษัท 

           ผู้บริโภคเกือบพันล้านคนทั่วโลกไม่มีบัตรเครดิต และหลายคนที่มีบัตรเครดิตไม่ต้องการที่จะใช้บัตร เพราะเหตุผลกังวลในด้านความปลอดภัยต่างๆ เพื่อบริการให้ทางออกโซลูชั่นสำหรับลูกค้าเหล่านี้ บริษัท OKPAY ขอนำเสนอรูปแบบของบัตรเดบิตแบบจำลอง 

          ประโยชน์หลักของบัตรเดบิตจำลองคือ การรักษาความปลอดภัยสูงสุด , ไม่ต้องมีการประเมินผลเครดิต (ไม่จำเป็นต้องยื่นหลักฐานในการขอรับบัตรเครดิตเหมือนธนาคารทั่วไป ทางบริษัท Okpay อาจจะขอเอกสารที่จำเป็นเท่านั้น ) ,ง่ายพร้อมสำหรับการใช้งานได้ทันที 
ประโยชน์ของ บัตรจำลอง OKPAY Virtual Debit Card 

          OKPAY มาสเตอร์การ์ด (OKPAY MasterCard) เอื้ออำนวยให้ลูกค้าสามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น และแหล่งที่มาของการชำระเงินออนไลน์ที่มีความปลอดภัยและเชื่อถือได้ กับร้านค้าปลีกหลายล้านแห่งทั่วโลก. โดยใช้ระยะเวลาอันสั้นในการสมัครที่ลูกค้าจะได้รับการรับรองและอนุมัติให้ใช้งานบัตรจำลอง (ข้อมูลหลักที่มีในบัตรจำเป็นสำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์) 

          บัตรจำลองมีหมายเลขชั่วคราวสำหรับการใช้งานเพียงครั้งเดียวหรือหลายการซื้อสินค้าออนไลน์ หมายเลขบัตรนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับแฮกเกอร์ เพราะถึงแม้ว่าหมายเลขบัตรจะถูกเปิดเผยก็ไม่สามารถที่จะใช้งานได้เหมือนบัตรเครดิตทั่วไป เพราะไม่สามารถที่จะถอนเงินออกจากบัตรได้ (โดยปกติบัตรเครดิตทั่วไปสามารถที่จะใช้งานได้หากมีบุคคลอื่นทราบรหัสและหมายเลขบัตรของคุณ แต่มันจะไม่สามารถใช้งานได้นี้บัตรจำลองนี้เพราะมีหมายเลขบัตรและรหัสการใช้งานที่สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว)  เพื่อให้การช้อปปิ้งออนไลน์มีความปลอดภัย บริษัท OKPAY แนะนำให้โอนเงินไปยังบัตรจำลอง ในขณะที่เมื่อคุณพร้อมจะซื้อสินค้า การโอนเงินด้วยวิธีนี้สามารถกำหนดค่าใช้จ่ายให้ตรงกับราคาที่ชำระเงิน และยอดเงินในบัตรจะยังคงว่างเปล่าจนกว่าจะมีการชำระเงินในครั้งต่อไป 

          ในปัจจุบัน ลักษณะการโจรกรรมยังคงเป็นความกังวลหลักที่สำคัญ หมายเลขบัตรจำลองจะไม่นำไปสู่หมายเลขบัตรเครดิตจริงหรือบัญชีเงินฝากธนาคารที่เกี่ยวข้องกับมัน. บัตร OKPAY จำลองเป็นบัตรระบบเติมเงิน (Pre-Paid card) ซึ่งหมายความว่ามีวงเงินในการใช้จ่าย, และไม่ได้เชื่อมโยงกับยอดเงินในกระเป๋าเงินของคุณ
ในการสร้างบัญชีใช้เวลาเพียงไม่กี่วันที่จะได้รับหมายเลขบัตรจำลองที่สามารถใช้งานได้ในทันที สำหรับการสั่งซื้อสินค้าบนร้านค้าออนไลน์ ซึ่งเป็นบัตรที่ถูกต้องในการชำระสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีร้านค้ามากกว่า 33 ล้านแห่งทั่วโลกที่ยอมรับระบบ MasterCard ®
"เป้าหมายของเราคือ การสร้างระบบการชำระเงินที่ดีที่สุดให้บริการทางการเงินที่เหมาะสมและสะดวกสบายสำหรับผู้ขายและผู้ซื้อ เราได้ฉลองวันเกิดครั้งที่สองของเราเมื่อไม่นานที่ผ่านมา และเรามีความยินดีที่จะเห็นความพึงพอใจของลูกค้าและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง " คำกล่าวของ Konstantin Romanovsky ,ประธานบริษัท OKPAY และซีอีโอ.
"เรามีความยินดีที่จะปรับปรุง OKPAY. เวลานี้เราต้องการที่จะนำเสนอคุณด้วยตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการช้อปปิ้งออนไลน์ที่ปลอดภัยด้วย – บัตรเดบิต OKPAY จำลอง!” 
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบบัตรเดบิต OKPAY เสมือนจริง (บัตรเดบิต OKPAY จำลอง) สามารถติดตามได้ที่หน้าข่าว OKPAY News. 


เกี่ยวกับบริษัท OKPAY 

Okpay.com เป็นเว็บไซต์ P2P และ B2C ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ระบบการชำระเงินที่มีบัญชีจำลอง สามารถดาวน์โหลดได้ง่าย ,ส่งเงิน,รับเงิน และถอนเงิน ได้ดีเช่นเดียวกับการซื้อสินค้าออนไลน์
OKPAY เป็นระบบระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่แพร่กระจายอย่างกว้างขวาง และเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการ eWallet ชั้นนำของโลก ซึ่งมีผู้ถือบัญชีมากกว่า 300,000 บัญชี    เครือข่ายการชำระเงิน OKPAY นำเสนอตัวเลือกการชำระเงินที่มากมาย สำหรับธุรกิจในกว่า 200 ประเทศภายใต้การบูรณาการเพียงครั้งเดียว. OKPAY ช่วยให้คุณสามารถควบคุมทางด้านการเงินออนไลน์ได้อย่างสมบูรณ์แบบและมีประสิทธิภาพ 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่นี่ https://www.okpay.com/th/company/news/okpay-virtual-cards.html 

สมัครได้ฟรีที่นี่ https://www.okpay.com/th/account/signup.html


OKPAY คือ E-currency ที่พึ่งเปิดใหม่ ซึ่งสามารถซื้อขายเงินได้กับผู้ขาย เหมือนกับ LR และ Webmoney อีกทั้งยังสามารถถอนเงินได้ เหมือนกับ Paypal และ Moneybookers ผ่านธนาคารไทยโดยตรง  

พิเศษสามารถเปลี่ยน E-currency ต่างๆ เช่น LR, AP , PM ให้เป็นเงินใน OKPAY แล้วสามารถกดถอนผ่านธนาคารไทยเช่นกัน หรือสามารถนำไปใช้ในการจ่ายเงินออนไลน์รวมถึงใช้เป็นการฝากถอนเงินในการเล่น Forex


คลิ๊กเพื่อสมัครเปิดบัญชีได้ที่นี้ https://www.okpay.com/


1. ขั้นตอนการสมัครเปิดบัญชี
http://www.e-currencystore.com/e-curren ... okpay.html

2. วิธีการ verify บัญชี (ต้อง verify บัญชีก่อน ถึงจะถอนเงินได้)
http://www.e-currencystore.com/e-curren ... okpay.html

3. วิธีเพิ่มบัญชีธนาคาร
http://www.e-currencystore.com/e-curren ... okpay.html

4. วิธีฝากเงิน และเปลี่ยน LR เป็นเงินในบัญชี OKPAY เพื่อกดถอนเงินผ่านธนาคารไทย
http://www.e-currencystore.com/e-curren ... okpay.html


หมายเหตุ 

1. ถ้าจะเอาขั้นตอนต่างและรูปภาพไปเผยแพร่ กรุณา ให้เครดิตด้วยนะครับ  " e-currencystore.com "
2. หนึ่งคน ต่อ หนึ่งบัญชีเท่านั้นครับ หากสมัครมากกว่าหนึ่งบัญชี โดนลบ ครับ
3. ถ้าจะเปลี่ยนจาก LR, AP และ PM เป็นเงิน ใน OKPAY ขั้นต่ำ 100 ดอล ครับ
4. ส่วนบัตรตอนนี้เปิดให้กรอกและขอบัตรเดบิตได้แล้วนะครับ ดังนั้นมีทางเลือกสามแบบใน OKPAY สำหรับถอนเงิน

- ผ่านธนาคารโดยตรง ข้อดีคือ รวมค่าธรรมเนียมแล้วประหยัดกว่า แต่ข้อเสีย ต้องถอนอย่างต่ำ 500 ดอล และถ้าจะให้ได้ค่าธรรมเนียมถูกสุดคือต้องถอน 5000 ดอล และรอ 2-5 วันทำการ
- บัตร Master Debit Card ข้อดีคือ ยอดเงินไม่ถึง 500 ดอล ก็กดถอนได้ สะดวกรวดเร็ว ข้อเสีย เสียค่าธรรมเนียมบัตร 
- ถอนผ่าน Exchanger ซึ่งกำลังจะมีให้บริการเร็วๆนี้


เลข SWIFT CODE ธนาคารต่างๆ ในประเทศไทย
ธนาคารกรุงเทพ : BKKBTHBK 
ธนาคารไทยธนาคาร : UBOBTHBK
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา : AYUDTHBK
ธนาคารกสิกรไทย : KASITHBK 
ธนาคารกรุงไทย : KRTHTHBK
ธนาคารนครหลวงไทย : SITYTHBK 
ธนาคารไทยพาณิชย์ : SICOTHBK
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ : SCBLTHBX
ธนาคารทหารไทย : TMBKTHB 
ธนาคารยูโอบี : BKASTHBK


วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

Leverage คืออะไร





Leverage 1:100 แปลว่า เราใช้ทุนของเราเองเพียง 1 เพื่อสั่งซื้อ-ขาย 100 เช่น เราจะสั่งซื้อ EUR มาถือไว้ โดยจะซื้อที่ราคา 1.3502 จำนวน 100 USD (คือได้มา 74.0631 EUR) เราไม่ต้องใช้ 100 USD ครับ เราจะใช้เพียง 1 USD เพื่อแลก 74.0631 EUR มาถือไว้ ซึ่งเมื่อเราขายคืนไปที่ 1.3552 หรือกำไรมา 0.0050 แทนที่เราจะกำไรแค่ นั้น จะกลายเป็นว่าเราจะทำกำไรได้ 0.50 usd แปลว่าเราสามารถทำกำไรได้ 50% จากเงินที่เราลง (เราลงเพียง $1 เพื่อทำกำไร $0.50)

แต่ไม่ต้องห่วง นะครับ ว่าเราจะมีเงินพอรึเปล่า เวลามี Leverage แบบนี้ เพราะเวลาเทรดเราจะสั่งเทรดอย่างมาก ไม่เกิน 40% ของทุน (แต่แนะนำที่ 10% ครับ จะได้มีเหลือไว้แก้ตัว) เช่นถ้าเรามีทุน $100 เราก็สั่งเทรดเพียง $10 หรือ 10% (แต่เวลาสั่ง $10 คือ 1,000 unit นะครับ ที่ Leverage 1:100) 10% ที่ใช้ เราจะเรียกว่า used margin เวลาราคาวิ่งขึ้นหรือลง มันจะมาบวก หรือ ลบ ที่ 90% ที่เหลือ หรือที่เรียกว่า available margin หากเราติดลบไปเรื่อยๆ จน available หมด ระบบจะทำการตัดขาดทุน โดยการปิด order นี้ โดยอัตโนมัติ นั่นคือ โบรกเกอร์จะไม่ยอมขาดทุนแทนเราหรอกครับ

คิด คร่าวๆ คือ เราจะทำกำไร (ขาดทุน) ได้ ประมาณ 1% ต่อ pip จากเงินทุนของเรา (คู่อื่นอาจจะไม่ถึง 1% บางคู่ก็มากกว่า เช่น EUR/GBP ตกประมาณ 2% ครับ)

นั่น หมายความว่า ด้วยทุนเพียง $100 (3,400 บาท) คุณจะสามารถทำกำไรได้ถึงจุดละ $1 (สั่งเทรด 10,000 unit) หากทำได้ 10 จุดต่อวัน ก็วันละ $10 หรือ 340 บาท (โดยประมาณ) หรือวันละ 10%

และด้วยทุนเพียง $1,000 (34,000 บาท) เราจะสามารถทำกำไรได้ถึงจุดละ $10 (สั่งเทรด 100,000 unit) หากทำได้ 10 จุดต่อวัน ก็วันละ $100 หรือ 3,400 บาท

หรืออาจจะเริ่มเพียง $1 (34 บาท) โดยจะได้จุดละประมาณ 1 เซ็นต์

ค่อยๆ สะสมไปก็ได้ครับ เพราะมีแล้วคนที่ปั้น $5 จากทุนฟรีที่ Marketiva มีให้ ไปเป็น $1,000 ใน 3 เดือน

ลอง คิดดูเล่นๆู ล่ะกันครับ ถ้าเพียงคุณสามารถทำกำไรได้ 10% ของทุนต่อวัน เพิ่มไปเรื่อยๆ 6 เดือน (120 วันเทรด) จะเป็นเงินเท่าไหร่ จากทุนเพียง $5

เป็น $463,545.34 หรือ 15,765,541.60 บาท ครับ โอ้ววววว พระเจ้าช่วย (ทำได้แค่ 5% ของไอเดียนี้ก็หรูแล้วครับ)

ปกติ EUR/USD จะไม่แรงมาก ทำวันละ 20-30 จุดได้ หากเป็นบางคู่ เช่น GBP/JYP (ทุกวันนี้ผมเล่น GBP/JYP เป็นหลัก เพราะแรง เร้าใจ) ผมเคยทำได้มากสุด +250 จุด เพียงช่วงเวลาที่ผมหลับ (เที่ยงคืน) จนมาถึงเวลาที่ผมตื่น (7 โมงครึ่ง) หรือ 250% ของเงินทุนที่ผมเทรด

ที่ FxOpen ให้เราสามารถ up Leverage ได้สูงสุดถึง 1:500 นั่นแปลว่า เราใช้ทุนตัวเองเพียง $200 ในการเทรด 100,000 unit (หรือ 1 lot จะได้จุดละ $10) เองครับ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Leverage ก็เป็นดาบ 2 คม ที่ทั้งทำให้ รวย-จน ได้ในพริบตา

Leverage และการที่มันวิ่งขึ้นลงทั้งวัน นี่แหล่ะครับ ที่ทำให้ Forex สนุก และเร้าใจ

อธิบายเพิ่มเติม เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นครับ...

Leverage ที่มากขึ้น ทำให้ใช้ margin น้อยลงครับ เช่น

หากเราสั่งเทรด 1 Lot (บน mt4 จะมีค่าเท่ากับการเทรด Quantity = 100,000 unit ที่ marketiva)

หากใช้ Leverage 1:100 จะใช้ margin = $1,000 โดย 1 pip จะมีค่า = $10
หากใช Leverage 1:200 จะใช้ margin = $500 โดย 1 pip จะมีค่า = $10
หากใช Leverage 1:500 จะใช้ margin = $200 โดย 1 pip จะมีค่า = $10

สังเกต นะครับ ผมสั่งเทรดจำนวนเท่ากัน คือ 1 Lot (หรือ Quantity = 100,000 unit ที่ marketiva ซึ่ง) และ 1 pip นั้น ไม่ว่าจะใช้ Leverage เท่าไหร่ จะมีค่าเท่ากัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ margin ที่ใช้ลดลง

ข้อดีของ Leverage ที่มากขึ้น คือการได้ใช้ margin ลดลง อาจะทำให้ถือลบ ได้นานอีกหน่อย (ถ้าจะถือจนลบหมดตัว)

แต่ ข้อเสียคือ ถ้ามองถึงการใช้ margin และยังคงดูเรื่อง fund management ที่เราพยายามเทรดไม่เกิน 10% ของทุน การที่ Leverage มากขึ้น เช่น เพิ่มจาก 1:100 ไปเป็น 1:200 แล้วเรายังคงเทรดโดยใช้ margin 10% สิ่งที่จะแตกต่างกันคือ (ถ้าทุน $10,000 เทรด โดยใช้ margin $1,000)

1:100 ต้องสั่งเทรด 1 Lot (หรือ 100,000 Quantity) เพื่อใช้ margin $1,000 จะได้ 1 pip = $10 ซึ่งถ้า -900 จุด จะโดน cut loss

แต่

1:200 ต้องสั่งเทรด 2 Lot (หรือ 200,000 Quantity) เพื่อใช้ margin $1,000 จะได้ 1 pip = $20 ซึ่งถ้า -450 จุด จะโดน cut loss
(จริงๆ marketiva สั่งได้มากสุดแค่ 100,000 แต่ e-mail ขอ support เพิ่มเป็น 200,000 ได้)

ซึ่ง ถ้าจะใช้ให้ถูก ถึงเราจะเลือก 1:200 เราก็ควรจะเทรดที่ 1 Lot (หรือ 100,000 Quantity) เหมือนเดิม เพื่อที่จะใช้ margin ลดลงเหลือ $500 ซึ่ง 1 pip จะยังคง = $10 และจะโดน cut loss เมื่อ -950 จุด (ยืดมาได้ 50 จุด จากที่ใช้ 1:100 ที่ลบได้แค่ 900 จุด)

ป.ล. marketiva เราไม่สามารถเลือก Leverage ได้ครับ ต้องใช้ 1:100 ครับ - สำหรับโบรกอื่น จะเป็นโปรแกรมเทรดที่เรียกว่า mt4 (เช่น FxOpen, FxClearing และ LiteForex) สามารถเลือก Leverage ได้

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2555

วางแผนเป็น.ชนะไปครึ่งทาง

"สุดยอด" เทคนิค วางแผนเป็น...ชนะไปครึ่งทาง
หลักการวางแผนนั่นจริงๆแล้วมีมากมาย
หลังจากการได้เรียนรู้จากประสบการณ์และจากการอ่านตามหนังสือต่างๆ กฏข้อใหญ่ๆมักจะพูดเสมอ
ให้คิดเสมอๆ การเข้าครั้งนี้จะไม่ขาดทุน (เพื่อเตือนสติให้ตัวเอง)
              :: รักษาเงินต้นไว้ให้ดี
              :: ควรทำอย่างไรจึงได้กำไร (หลักอะไรบ้าง วิธีใดบ้าง เวลา จังหวะ ความเหมาะสม)
              :: และควรเทรดอย่างไรให้เทรดได้ผลกำไรต่อเนื่อง สม่ำเสมอ
1  อย่าพยายามเทรดในช่วงที่เราไม่รู้ (ช่วงที่อ่านกราฟไม่ออก มองไม่ชัดเจน กราฟไม่สวย ไม่แน่ใจ...)
2  อย่ารีบจนเกินไปและยื้อการขาดทุน ( อย่าปล่อยให้ความโลภยืนเหนือเหตุผล และขาดทุนเพราะคิดว่าเดี๋ยวก็กลับมา)
3  อย่าต่อต้าน แนวโน้มหลัก ( กราฟมักจะมีแนวโน้มเสมอๆ ระยะสั้นๆอาจจะsideway แต่ระยะเวลามากขึ้นยังคงเป็นขาขึ้นอยู่..)  
4  จงเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง ( ทำอย่างไรเพื่อให้ขาดทุนน้อยลง ทำอย่างไรที่จะหาวิธีในการลงทุนที่สามารถทำกำไรได้ เรียนรู้ความผิดพลาด
ตลาดสอนอะไรเรา ตัวไหนที่มักจะทำกำไรให้เราเสมอๆ หาเหตุและผล เพราะอะไร)            
5  ทำการบ้านก่อนเทรดเสมอๆ จดและบันทึกลงสมุด ( มองกราฟ วิเคราะห์กราฟจาก 1d --->4h--->1h--->30h--->15m ความสัมพันธ์เป็นยังไง เริ่มลงทุนควรเริ่มที่เท่าไหรก่อน ตามความเหมาะสมของลักษณะกราฟว่ามั่นใจแค่ไหน หลายๆคนมักจะมองข้ามการจดบันทึก จดตัวที่เราสนใจจุดไหนน่าสนใจ ถ้าเข้าแล้วจุดไหนควรออกยอมตัดขาดทุน แนวรับแถวไหน แนวต้านแถวไหน มาถึงตรงนี้ถึงเข้าเลื่อนลงไปตัดขาดทุนทันที หลายๆคนมักมองข้ามแบบแผนนี้เสมอๆ ส่วนใหญ่มักเปิดกราฟแล้วเทรดเลยเป็นวิธีคิดที่หยาบเกินไปยังไม่ละเอียดพอ)
6 มีสมาธิในช่วงนั่นๆ (เงินทำเงินควรตั้งใจและมีสมาธิ)












จุดนี้น่าสนใจมากๆ

แนวทางหลักการของ วอเร็น บัฟเฟ็ตต์  

โดยทฤษฎีของ บัฟเฟ็ตต์ นั่นจะลงทุนโดยแนวคิด พื้นฐาน วินัย ความอดทน  เป็นทฤษฎี ค่อยๆรวย โดยลงแบบผู้รอบรู้ หลักสูตรรวยทางลัดไม่มี มักจะกลายเป็นหลักสูตรจนทางลัดแทน
โดย เราจะนำแนวคิดของบัฟเฟ็ตต์มาประยุกต์ใช้ทาง Technical Analysis ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนแบบ speculate (เก็งกำไร เล่นสั้น) นักลงทุนระยะกลาง ระยะยาว ใช้ได้หมด

1. เลือกความเรียบง่ายมากกว่าความซับซ้อน 
2. ฝึกความอดทน  (รอจังหวะที่ดี อย่ารีบ)
3. มีสติและควบคุมอารมณ์ได้
4. คิดอย่างอิสระ
5. ไม่สนใจ ไม่วอกแวกจากภาพรวมภายนอก
6. ไม่ลงทุนด้วยสัญชาตญาณ (คิดเอง เดาเองหรือเสี่ยงเล่นดู ) 
7. ฝึกการอยู่นิ่งๆ ไม่ซื้อขายมากเกินไป
8. เป็นนักฉวยโอกาสเมื่อตลาดมีสภาวะสดใส ชัดเจน
9. อย่าตีบอลทุกลูกที่ขว้างมา (อย่าเข้าๆออกๆบ่อยเกินไป)
10. จงอยู่ในขอบเขตความรู้ของคุณ (มีความรู้แบบไหนก็ใช้วิธีเล่นแบบที่คุณรู้ )
11. จงตื่นกลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภและจงโลภเมื่อคนอื่นกำลังตื่นกลัว
12. อ่านและอ่านให้มากแล้วคิดให้ดี
13. อย่าทำพลาดแล้วเรียนรู้จากความผิดความของผู้อื่น
14. ก้าวสู้การเป็นนักลงทุนผู้รอบรู้และ ฝึกที่จะพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

...เดี๋ยวมาดูกันว่า วางแผนเป็น มีหลักการคิดที่ดี มีกลยุทธ์ที่ดี โดยประยุกต์ใช้แนวทางบัฟเฟตต์มาใช้ทาง Technical Analysis....

ลงทุนโดยใช้ Technical Analysis

ลงทุนด้วยความเรียบง่าย ชัดเจน อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน มองกราฟแบบง่ายๆ มองกราฟให้ออกก่อน แบบที่เราเข้าใจ มีแนวโน้ม ไม่ซับซ้อนเกินไป มองแนวรับ แนวต้านที่ชัดเจน(แข็งแกร่ง)

"เมื่อมองกราฟ แล้วคุณเข้าใจ"

------------------------------------------------------------------------

อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน
บัฟเฟตต์ให้แนวคิดค้นแนวทางสู่ความสำเร็จโดยลงทุนหุ้นที่ไม่ซับซ้อนโดยที่ตัวเขาเองไม่สามารถเข้าใจได้ หลักการที่ 
บัฟเฟตต์เรียนรู้จาก เบนจามิน เกรแฮม อาจารย์ของเขา คือ คุณไม่จำเป็นต้องทำเรื่องยากๆเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเยียม  ทำให้ง่ายๆคือเป้าหมายของคุณ” นี่คือแก่นแท้ของปรัชญาการลงทุนแบบ บัฟเฟตต์ หลักการง่ายๆนี้แสดงให้เห็นถึง
ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

"ถ้าคุณไม่เข้าใจ มองกราฟไม่ออก อย่าเข้าซื้อ-ขายเด็ดขาด"
ดูตามรูปครับ  1 และ 1.1----->ลงทุนด้วยความเรียบง่าย ชัดเจน อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน
               2,2.1,2-2---->อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน (ควรอดทนรอและอยู่นิ่งๆ)













จงตัดสินใจลงทุนด้วยตัวคุณเองและมีสติตลอดเวลา

บัฟเฟฟต์ แนะนำว่า ปล่อยให้คนอื่นๆตื่นตระหนกไปกับตลาดแล้วเมื่อมันสงบคุณจะได้ประโยชน์จากมัน  
ควรเป็นนักลงทุนผู้รอบรู้  มีสติที่ดี คุณต้องควบคุมอารมณ์ได้ตลอดเวลา การมีสติที่ดียังหมายถึง ควบคุมจิตใจเมื่อต้องรับมือกับสภาวะต่างๆในตลาด สติ ดีที่ยังหมายถึง การมีวินัย คุณจะทำอย่างไรถ้าตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์  และคุณจะทำอย่างไรเมื่อเป็นตลาดกระทิงหรือตลาดหมีเต็มตัว

ควรระวังสติของตัวเองในด้านความโลภและความกลัว
 ควรเปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้า กล้าที่จะซื้อ-ขาย(เมื่อมองเห็นสัญญาณ)กล้าที่จะยอมตัดขาดทุนให้ไว (เมื่อรู้ว่าผิดทาง มีการกลับตัวของทิศทาง) ควรตัดความโลภภายในใจตัวเอง


เบนจามิน เกรแฮม  อาจารย์ของบัฟเฟตต์ เคยพูดว่า ปัญหาใหญ่และศัตรูตัวร้ายของนักลงทุนก็คือตัวเขาเอง อย่าตื่นตกใจในความสับสนของตลาด อย่าปาเป้าโดยการซื้อ-ขาย บ่อยๆและตลอดเวลา
(จากการวิจัยพบว่า ยิ่งซื้อ-ขายมากเท่าใดโอกาสขาดทุนก็มากเท่านั่น)
รู้จักตัวเองและตัดสินด้วยตัวคุณเอง คุณต้องมีวินัยและความอดทน ทำการบ้านของคุณและคิดให้รอบคอบเพื่อตัวคุณเอง


บัฟเฟตต์พูดว่า ความสำเร็จในตลาดหุ้นนั้น คุณต้องการเพียงแค่สติปัญญาธรรมดาๆ และต้องการความสามารถในการควบคุมอารมณ์และจิตใจ   ถ้าคุณสามารถใจเย็นอยู่ได้ในขณะที่คนอื่นๆรอบข้างกำลังตกใจคุณก็เป็นต่อในการลงทุน

จงอดทน
บัฟเฟตต์เรียนรู้อย่างรวดเร็วว่า การลงทุน ต้องมีความอดทน
ความ อดทนไม่ใช้เรื่องง่ายๆแต่เป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งของการควบคุมอารมณ์ในการ ลงทุน (เมื่อรู้กราฟเป็น sideway เลี่ยงโดยการปิดโปรแกรมแล้วหาอย่างอื่นทำดีกว่า) อย่าปล่อยให้ความอยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการอดทนรอในช่วงที่ไม่น่าเข้าเทรด

เมื่อ ซื้อ-ขายจงใจเย็นและไม่หลงระเริงไปกับ “ความฟุ่มเฟือยที่ไม่เหมาะสมและตกอยู่ในอำนาจของความกลัวเพราะถ้าแนวโน้ม ขึ้นก็มักจะขึ้นต่อไป แต่จงอย่าโลภเมื่อมีสัญญาณกลับตัวให้เห็น(ออกให้เร็ว) มีวินัยเมื่อระบบเปลี่ยนทิศทาง

เบนจามิน เกรแฮม เคยกล่าวในหนังสือ “The Intelligent Investor” ว่าเราได้เห็นเงินจำนวนมากตกเป็นของคนธรรมดาๆที่ รู้จักการควบคุมสติให้เหมาะสมกับขบวนการลงทุนของพวกเขา มากกว่าพวกที่มีความรู้ด้านการเงินการบัญชีและผู้เชี่ยวชาญที่ขาดความอดทน

จงซื้อ-ขายต่อเมื่อคุณมั่นใจและแน่ใจแล้วเท่านั่น ถ้ายังไม่มั่นใจควรอยู่นิ่งๆก่อน อย่ามองและเช็คกราฟตลอดเวลา(รอจังหวะให้เป็น)
---------------------------------
Ex.รูปการเทรดไม่จำเป็นต้องเข้าๆออกๆ บ่อยครั้งในหนึ่งวัน
    รูปคุณต้องมีวินัยและความอดทน ทำการบ้านของคุณและคิดให้รอบคอบเพื่อตัวคุณเอง

วางแผน จดบันทึก และลากวาดเส้นลงบนกราฟ นำหลักการของ John Murphy มาต่อยอด

มองหาแนวโน้ม
ใน กราฟมีแค่ แบบ ขาขึ้น ขาลง ด้านข้าง ใช้กราฟวิเคราะห์ราคาจากระยะยาวเมื่อมองภาพใหญ่จะเห็นว่าตลาดเป็นรูปแบบไหน ทำอะไรอยู่และจะมองภาพรวมตลาดได้ง่ายขึ้น

เมื่อมองภาพระยะยาว(กราฟวัน สัปดาห์ เดือน)แล้วจึงค่อยมามองภาพระยะสั้น(ระหว่างวัน) การไปดูกราฟระยะสั้นๆก่อนมักจะทำให้มองผิดพลาดได้ง่ายกว่า(เกิดการหลอก ของกราฟ)เพราะแนวโน้มกราฟมักจะเดินทางตามกราฟระยะยาวเสมอๆ ดังนั่นถ้าคุณเป็นนักเทรดระยะสั้น วันต่อวัน นักเก็งกำไร คุณควร ซื้อ-ขาย ตามแนวโน้มระยะกลาง และระยะยาว


เดินทางไปกับแนวโน้มนั่นๆที่เกิดขึ้น  
พิจารณาแนวโน้มที่เกิดขึ้นว่าเป็นแบบไหนเมื่อรู้แล้วจึงเดินตามแนวโน้มทางนั้น
แนว โน้มของตลาดจะมีทั้ง  ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว คุณต้องรู้ก่อนว่าคุณเป็นนักลงทุนประเภทไหน สั้น กลาง ยาว แล้วจึงเลือกกราฟให้เหมาะสม เมื่อถึงเวลาเทรดให้เทรดไปตามทิศทางแนวโน้มตามระยะเวลาที่คุณเลือก

''สำคัญ'' ซื้อเมื่อตอนที่ราคาลดต่ำลงมา(ลงมาปรับฐาน พักตัว ทำแนวรับ)ในแนวโน้มของเทรนขาขึ้น
            ขายเมื่อตอนที่ราคาดีดตัวขึ้นไป(ขึ้นมาปรับฐาน พักตัว ทำแนวต้าน)ในแนวโน้มของเทรนขาลง 

ถ้าคุณเป็นนักลงทุนระยะกลางให้ใช้กราฟรายวัน รายสัปดาห์


ถ้าคุณเป็นนักลงทุน ซื้อ- ขายภายในวันเดียว ใช้กราฟวันและระหว่างวัน
อย่าง ไรก็ตามจะเลือกเทรดแบบไหน เราต้องดูกราฟที่ระยะยาวกว่าเพื่อดูแนวโน้มก่อน แล้วจึงใช้กราฟระยะเวลาที่เราต้องการเทรดสำหรับการซื้อ-ขาย

ดูตัวอย่างรูป ของการมองหาแนวโน้มจากระยะยาว เพื่อไปเทรดระยะสั้น
 รูป 1 (รูปกราฟ1dมองว่าเกิดอะไรอยู่) 2 (รูป4hว่าเกิดอะไรอยู่) 3 (รูป15เพื่อหาจังหวะเทรด) จากเวลา เดียวกัน  และตัวอย่าง ซื้อที่แนวรับ  ขายที่แนวต้านของการเดินทางแนวโน้มที่เกิดขึ้น รูปของขาขึ้น   รูปของขาลง









หาจุดต่ำสุดของราคาและจุดสูงสุดของราคา
รู้จุดต่ำสุด คือ แนวรับ จุดสูงสุด คือ แนวต้าน หาให้เจอ(แล้วขีดไว้กันลืม) 
หาแนวรับและแนวต้าน
ตำแหน่งที่ดีที่สุดคือ ซื้อที่แนวรับ(ใกล้ๆแนวรับ) ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น 
ตำแหน่งที่ดีที่สุดคือ ขายที่แนวต้าน(ใกล้ๆแนวต้าน) ในช่วงแนวโน้มขาลง

เมื่อ ราคาทำยอดสูงใหม่กว่าจากนั้นจะกลับมาเป็น(แนวรับ) เมื่อราคาวกกลับลงมาหรือเรียกว่า สูงเก่ากลายเป็นจุดต่ำใหม่ (ของแนวโน้มขาขึ้น)
เมื่อราคาทะลุจุดต่ำสุดจากนั้นจะดีดกลับมาเป็น(แนวต้าน) เมื่อราคาดีดตัวขึ้นไป เรียกว่า ต่ำเก่ากลายเป็นจุดสูงใหม่ (ของแนวโน้มขาลง)
ดูตัวอย่างรูป ขาขึ้น และ ขาลง

------------------------------------------------------------------------------------------------------

การปรับฐาน ราคาจะปรับฐานลึกแค่ไหน
การขึ้นก็ขึ้นเป็นรอบ ในรอบการขึ้นก็ต้องมีการปรับฐานเพื่อขึ้นต่อ
การลงก็จะลงเป็นรอบ ในรอบการลงก็ต้องมีการปรับฐานเพื่อลงต่อ
รอบการขึ้น รอบการลงมีการปรับฐานเหมือน คลื่น  
เราสามารถวัดการปรับตัวที่เกิดขึ้นได้ในสัดส่วนง่ายๆ
การปรับตัวที่ระดับ 50% ของแนวโน้มก่อนหน้าเป็นสิ่งที่พบเห็นบ่อยที่สุด
สัดส่วนที่น้อยที่สุดมักจะเป็นหนึ่งในสามของแนวโน้มก่อนหน้า(33.38%) ของการปรับตัวและมากที่สุดสองในสาม(66.66%)

สำหรับการปรับตัวตามตัวเลข Fibonacci คือ 38% และ 62%เป็นตัวเลขที่สำคัญของการปรับฐานหรือปรับตัวของราคา
เมื่อ เกิดแนวโน้มขาขึ้นหากจะซื้อควรรอการปรับฐานโดยดูตามระดับตัวเลข Fibonacci ที่สำคัญๆเพราะมักจะเป็น แนวรับที่สำคัญ เพื่อลงมาสะสมแรงแล้วไปต่อ  
ดูตัวอย่างรูป เตรียมลาก และ fibo@ จังหวะแรก fibo@2จังหวะที่สองของแนวโน้ม fibo@3จังหวะที่สามของแนวโน้ม

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ลากเส้น(แนวโน้ม)
ลากเส้นแนวโน้ม เส้นแนวโน้มเป็นการมองและลากง่ายๆแต่ได้ผล สิ่งที่ต้องทำก็แค่ลากเส้นแนวโน้ม
ขาขึ้นของการลากก็จะมีการพักตัวในเส้นที่ลากแล้วขึ้นต่อ
ขาลงของการลากก็จะมีการพักตัวในเส้นที่ลากแล้วลงต่อ
จนกว่าจะมีการทะลุเส้นแนวโน้มนั่นๆได้มักจะเกิดสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มนั่นๆ
เส้น ที่ดีควรมีการแตะของราคาอย่างน้อยถึงสามครั้ง(ไม่ทะลุหลุดเส้น)  เส้นยิ่งยาวยิ่งดีบอกแนวโน้มนั่นแข็งแรง(ลากแล้วหลุดเร็วแสดงเส้นสั้น)
และยิ่งถูกทดสอบโดยการแตะที่เส้นมากเท่าไหร่(เหมือนสะสมแรง)ยิ่งเป็นนัยสำคัญที่ต้องพิจารณา

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ใช้เส้นค่าเฉลี่ย
เส้นค่าเฉลี่ยจะให้สัญญาณในการซื้อ – ขาย บอกถึงแนวโน้มขณะนั้นยังเกิดขึ้นอยู่หรือว่าเปลื่อนแล้ว
เส้นค่าเฉลี่ยไม่ได้บอกแนวโน้มอนาคตว่าราคาจะไปทางไหนแต่ก็สามารถบอกถึงการเปลื่อนแนวโน้มได้ดีมากๆ
การใช้เส้นค่าเฉลี่ย เส้นเป็นที่นิยมในการหาสัญญาณซื้อ-ขาย   ส่วนใหญ่จะนิยมใช้เส้น 4และ9วัน  9และ18วัน หรือ 5และ20วันเป็นต้น
สัญญาณจะเกิดขึ้นเมื่อตัดกันขึ้นซื้อ ตัดกันลงมาขาย 
การใช้เส้นค่าเฉลี่ย40วันเพื่อหาจุดซื้อ-ขายก็เป็นสัญญาณที่ดีอีกตัวหนึ่ง
และเนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยเป็นตัวหาแนวโน้ม ดังนั้นจะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อตลาดมีแนวโน้มชัดเจน
ตัวอย่างรูป เส้นค่าเฉลี่ย 40 วัน (sma40)











สามารถลากจากไหนก็ได้ชอบแบบที่ราคาเปิดปิด หรือ ชอบลากแบบใส้เทียน ใช้แบบไหนก็ได้ครับฝึกดูไปเรื่อยๆครับ แต่เมื่อหลุดแล้วไม่เป็นไปตามทิศทางที่เรามองมีทางเดียวเลยครับ ยอมตัดขาดทุนแล้วเริ่มครั้งใหม่ ไม่มีระบบไหนถูกทุกครั้งครับ ทุกระบบถูกเลือกมาให้ถูกมากกว่าผิด แต่ระบบทุกระบบก็ต้องการทำตามอย่างมีวินัยสูงด้วยเช่นกัน การมีวินัยจะช่วยให้การเสียหายขาดทุนน้อย แต่ถูกทางจะกำไรมากเสมอๆครับไม่เชื่อลองมีวินัยดูครับ....

ข้อสอง ระยะสั้น มีตัวpivot ที่ใช้ดูระยะ 15m ใช้ได้ดีในการเล่นหนึ่งวัน ส่วนระยะกลาง ระยะยาว ต้องลากมือเพื่อหาเป้าหมายหรือจะดูจาก แนวรับ แนวต้าน อดีตว่าเคยขึ้น ลงไปที่จุดไหนและอนาคตมักจะวิ่งที่พักตัวที่ระดับจุดที่อดีตเคยขึ้นมาถึง ลงมาถึงเช่นกันครับ

ข้อสาม ส่วนใหญ่น่ะครับ พอมีแนวโน้มขึ้นหมดรอบขึ้นแล้วมักจะเกิดคลอเคลีย(sideway)หรือพักตัวก่อน เสมอแล้วมีแนวโน้มครั้งต่อไป  เปรียบ เสมือนการวิ่งครับเมื่อเราวิ่งมานานเราเหนื่อยเราก็ต้องพักก่อน เมื่อพักเราก็หายเหนื่อย(สะสมแีรงนั่นเอง) พอหายเหนื่อยเราจึงวิ่งต่อ สรุปแล้วเกิดแนวโน้มครบหนึ่งรอบแล้วพักเพื่อสะสมแรงแล้วจึงวิ่งครั้งต่อไป ครับ ราคาการขึ้นลงของกราฟก็มีอารมณ์และความรู้สึกเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตเช่น เดียวกันครับ เป็นไปตามธรรมชาติทั้งนั่นครับ ขยันมอง ขยันสังเกตุและขยันมีวินัยครับ เดี๋ยวก็เก่งครับ  

เอารูปแบบต่างๆมาฝากจำไม่ได้แล้วเอามาจากเว็บไหน..



ฝึกให้ทานจนเป็นนิสัย ความโลภจากกำไรและควมโลภของการไม่กล้า stop loss จะหายไปเอง
ที่มา http://thailandinvestorclub.com/

หลักการเทรดฟอเร็กซ์

หลักการโดยทั่วไปในการเทรดฟอเร็กซ์ 
1. การวางแผนการเทรดและเทรดตามแผนของคุณ(Plan your trade And Trade your plan)
     ในการเทรด ไม่ควรตัดสินตามอารมณ์ ความรู้สึกของคุณ ว่าราคาน่าจะขึ้น ราคาน่าจะลง แล้วเปิดคำสั่งเทรด คุณจำเป็นจะต้องมีการวางแผนในการเทรดเพื่อนำไปสู่ึความประสบความสำเร็จ แผนการเทรดที่ดี ควรประกอบด้วย 1. การกำหนด จุดเข้า หรือ สัญญาณในการเข้าเทรด 2 . การกำหนดจุด ขาดทุน ( Stop Loss) 3. การกำหนดเป้าหมายกำไร ( Target) 4. การวางแผนทางการเงิน ( Money Management) 5. การบริหารความเสี่ยง ( Risk Management) การจัดสรรค์การเรดให้เหมาะสม แผนการเทรดที่ดีจะช่วยให้คุณตัดอารมณ์ ออกจากการเทรด ช่วยให้คุณไม่ต้องมานั่งเครียด เวลาที่ติดลบ หรือ ไกล้จะ Call Margin ( เงินใกล้จะหมด) ไม่ต้องถูกบังคับปิด เช่น มาจิ้นของคุณหมด ตัวอย่างแผนการเทรดหรือระบบเทรด คุณสามารถ หาได้จากเ็ว็บนี้ หรือ จาก google ลองหาแผนการเทรดที่เหมาะกับตัวของคุณ ลองทดสอบระบบ และเทรดตามระบบด้วยเงินปลอม อาจจะปรับปรุงให้เหมาะสมกับตัวของคุณ แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับการเทรดของคุณ ซึ่งไม่มีระบบไหนที่ได้ผลการเทรดของคุณออกมา 100% ระบบเทรดที่ดี ควรมีประสิทธิ์ภาพมากกว่า 60 % ไม่ว่าคุณจะได้ระบบเทพ หรือ สุดยอดเทพ ยังไง คุณก็ต้องติดลบก่อน ไม่มีใครไม่เคย ติดลบ

2. แนวโน้มของกราฟ คือเพื่อนของคุณ ( The Trend is Your Friend )
      อย่าคิดสวนเทรน ให้หาสัญญาณ Buy/ Long เมื่อ ตลาดอยู่ในสภาวะขาขึ้น ( Bullish Market ตลาดแดนบวก) และหาจังหวะ Sell/Short เมื่อตลาดอยู่ในสภาวะขาลง ( ฺำBearish Market ตลาดแดนลบ)

3. การรักษาเงินลงทุน ( Focus on capital preservation)

     สิ่งสำคัญอีกอย่างสำหรับการเทรด ต้องรักษาเงินในบัญชีของคุณให้ดีที่สุด การเปิดคำสั่งเทรดแค่ละคำสั่ง ไม่ควรจะเกิน 10 % ของเงินในบัญชีเทรดของคุณ เช่น เงินทุน 1000 $ คุณควจจะเทรดไม่เกิน 100$ ถ้าไม่มีการรักษาเงินทุนไว้ เงินทุนจะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเทรดมาก ได้มาก ก็เสียมาก เช่นกัน เมื่อเงินหมด คุณอาจจะท้อ หรือเลิกไปเลย เพราะฉะนั้น ควรจะเล่นน้อยๆ เรื่อย ๆ แล้ว จะประสบผลสำเร็จในตลาดฟอเร็ก ฟอเ็ร็กไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย

4.ต้องรู้ว่าเมื่อไรควรจะตัดขาดทุน (Know when to cut loss)
     ถ้าราคาวิ่งตรงข้ามกับที่คุณได้เทรดไว้ หรือคาดการณ์ไว้ สิิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ ตัดเนื้อร้ายออกไป อย่าให้มันรุกราม แล้วหาโอกาสหรือจังหวะดีๆ เพื่อเข้าใหม่ การถือติดลบไว้ เป็นการเสียโอกาสในการหาจังหวะเข้าใหม่ในสัญญาณดีๆ และต้องมานั่งเครียด เพราะกลัวว่า มาจิ้น จะหมด คังคำที่พูดกันว่าเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย และ ลบน้อยตัดยาก ลบมากตัดง่าย ถ้าเลวร้ายจริงๆ คุณอาจจะโดนคำสั่งปิด Margin Call ดังนั้นเมื่อทำการเทรดทุกครั้ง ควรหาจุด Stop Loss จุดที่คุณควรปิดทิ้ง เมื่อราคาวิ่งตรงข้าม จากทีคาดการณ์ไว้ โดนอาจจะกำหนดไว้เลย เช่น Exit stop Loss -20 จุด -30 จุด หรือตั้งไว้ตามแนวรับแนวต้าน Support- Resistance

5. ปิดทำกำไรเมื่อได้โอกาส หรือด้วยความพอใจของเรา(take Profit when the trade is good)
     ก่อนทำการเทรด ตั้งเป้าหมายไว้ ว่าต้องการกำไรเท่าไร เมื่อได้โอกาส ก็ควรปิดทำกำไร เป้าหมาย ( Target) อาจจะกำหนดตายตัว หรือ ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเรา เช่น ทำกำไร 20 จุด หรือ 30 จุด หรือกำหนด ตามแนวรับแนวต้าน ( Support and Resistance) หรือกำหนด โดย Fibonaccy ก็ได้

6. ตัดอารมณ์ออกไป(Be Emotionless)
     สองอารมณ์ ที่มีผลมากให้การเทรด คือ ความโลภ ( Greedy) และความกลัว(fear) อย่าทำให่้สองสิ่งนี้ครอบงำจิตใจของคุณ เพราะมันจะทำให้คุณไม่สามารถเทรดได้ หมั่นฝึกฝนเทรดให้เป็นระบบ เทรดตามแผน หรือระบบเทรดที่คุณได้เตรียมไว้ จัดการ กับ การกำหนดจุดเข้า ( Entry Position) จุดออก ( Exit Position) ระบบการเงินของคุณ(Money Management) เพียงแค่นี้ คุณก็จะประสบความสำเร็จกับฟอเร็กได้

7. อย่าเทรดตามคุณอื่น ( Do not trade base on tips from other people)
     ควรเทรดตามระบบ ตามสัญญาณ หรือตามแผนที่วางไว้ อย่าเทรดตามคนอื่นโดยเด็ดขาด วิเคราะห์ให้ดีทุกครั้งก่อนการเทรด

8. จดบันทึกการเทรด (Keep A trade journal)
       เมื่อคุณเปิดคำสั่ง ซื้อ (Buy/Long) ให้จด เหตุผลว่าเข้าเพราะอะไร และจดความรู็้สึกตอนนั้นไว้ เมื่อเปิดคำสั่ง ขาย ( sell/Short) ก็ทำเช่นเดียวกัน แล้วนำมาวิเคราะห์ บันทึก ข้อผิดพลาด ในการเทรด ขำข้อผิดพลาดของคุณที่เกิดขึ้น นำมาเป็นบทเรียน แล้วอย่าทำตามนั้นอีก

9.เมื่อไม่แน่ใจไม่ต้องเทรด( When in doubt, stay out)
      เมื่อคุณไม่มั่นใจหรือกำลังสับสน กับสภาวะของตลาดไม่แน่ใจว่าราคาจะวิ่งไปทางไหน ให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องเทรด ออกไปเดินเล่นหาอย่างอื่นทำ แล้วก็รอตลาดในช่วงต่อไป คุณค่อยมาหาจังหวะการเทรดใหม่

10. อย่าเทรดมากเกินไป ( DO Not Over Trade)
     ไม่ควรเปิดเทรดมากเกินไป ในการเทรดแต่ละครั้งควรมีออเดอร์ที่เปิดทิ้งไว้ ไม่เกิน 3 ออเดอร์ ถ้ามีมากเกินไป คุณอาจจะควบคุมไม่ได้ หรือาจจะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจเมื่อตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นอย่าเปิดเทรดจนมากเกินไป


ขอขอบคุณที่มา fx-dd.makewebeasy

แนวคิด Dan Zanger




วิธีการเล่นหุ้น และบัญญัติ 10ประการของ Dan Zanger 


          วันนี้ผมนำ บัญญัติวิธีการเล่นหุ้น 10 ข้อของ Dan Zanger มาให้อ่านกันครับ โดยหากคุณยังไม่รู้จักกับเขาคนนี้ว่า Dan Zanger นั้นเป็นใครผมก็ขอแนะนำคร่าวๆนะครับ ว่าเขาคือหนึ่งในนักเล่นหุ้นที่ดีที่สุดของโลกคนหนึ่งโดยสิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นที่สนใจก็คือ เมื่อประมาณเกือบสิบปีที่ผ่านมา ( ประมาณปี 1999-2000) เขาได้ทำให้วงการหุ้นตะลึงโดยการที่เขาสามารถ ทำเงิน 11,000 เหรียญเล่นหุ้นให้กลายเป็นเงิน 18 ล้านเหรียญได้ภายในปีเดียว! และยังไม่พอครับอีกประมาณสองปีต่อมาเขาสามาถทำเงินเพิ่มจากการเล่นหุ้นจนมีทรัพย์สินประมาณ 42 ล้านเหรียญสหรัฐอย่างไม่น่าเชื่อ และที่สำคัญนี่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการฟลุ้คอย่างแน่นอน เพราะเขาเคยเจ๊งและเล่นหุ้นอย่างลุ่มๆดอนๆมาเป็นสิบปี และอะไรคือหลักการคิดที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองไปได้ถึงขนาดนี้เรามาติดตามกันครับ

          ข้อแนะนำ: นี่คือวิธีการเล่นหุ้นที่เหมาะกับผู้ที่สามารถที่จะควบคุมตนเองให้สามารถทำตามกฏได้อย่างเคร่งครัดโดยไม่มีการลังเล และนี่คือวิธีการเล่นหุ้นที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาดูหุ้นระหว่างวัน และถึงแม้จะมีหุ้นหลายตัวที่เข้าข่ายหุ้นที่น่าสนใจ แต่หุ้นที่สามารถเคลื่อนใหวอย่างรวดเร็วที่สุดเมื่อเคลื่อนผ่านแนวต้าน และมีวอลุ่มเข้ามากที่สุดคือหุ้นที่น่าสนใจที่สุด

1. ก่อนที่จะซื้อหุ้นให้ตรวจสอบให้ดีว่า รูปแบบราคาของหุ้นตัวที่คุณสนใจนั้นตรงกับรูปแบบราคาหุ้นที่มีความน่าเชื่อถือและให้ผลตอบแทนอย่างดีหรือไม่

2. ซื้อเมื่อหุ้นวิ่งผ่านแนวต้านของรูปแบบราคา (chart Pattern) และดูให้ดีว่า มีวอลุ่มเข้ามามากหลังจากราคาได้เคลื่อนผ่านแนวต้านไปแล้วหรือไม่ อย่าซื้อหุ้นเมื่อมันได้วิ่งผ่านแนวต้านเดิมมาเกินประมาณ 5%แล้ว ที่สำคัญคุณควรจะรู้ค่าเฉลี่ยวอลุ่มที่ผ่านมาภายในช่วงเวลา 30 วันด้วยเช่นกัน

3. ต้องรีบขายหุ้นที่หักหัวกลับลงมาที่จุดซื้อแนวต้านเดิม หรือเส้นแนวโน้มที่พึ่งผ่านมา (trend line) โดยปกติแล้วคุณควรตั้งจุดขาดทุนไม่เกิน1-2 ช่องต่ำกว่า Breakout Point หรือแนวต้านเดิม นักเล่นหุ้นบางคนอาจจะตั้ง “จุดตัดขาดทุน” ไว้ไม่เกิน 5% ของพอร์ทรวม และนี่อาจรวมถึงการที่เราควรขายหุ้นที่ ไม่วิ่งหลังจากราคาทะลุแนวต้านไปแล้วเกิน 20 นาที หรือ 3 ชั่วโมง

4. ขายหุ้นออกไปประมาณ 20%-30% หลังจากที่มันได้วิ่งทำกำไรให้คุณไปแล้วประมาณ 15%-20% จากจุดซื้อที่แนวต้านเดิม

5. ถือหุ้นที่แข็งแกร่งและแรงที่สุดไว้ให้นานที่สุด และควรขายหุ้นที่เคลื่อนใหวอืดอาดออกไปอย่างรวดเร็ว เราต้องจำไว้ว่า “หุ้นนั้นดีต่อเมื่อมันวิ่งขึ้น”

6. มองหา “กลุ่มหุ้นที่นำตลาด” เอาไว้และพยายามเลือกหุ้นจากกลุ่มนี้

7. หลังจากที่หุ้นวิ่งไปได้ไกลๆระยะหนึ่ง หุ้นของคุณมีแนวโน้มที่จะถูกเทขายทำกำไรอย่างรุนแรง ซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนคุณไม่อยากเชื่อ ดังนั้นจงเรียนรู้ที่จะ ยกจุดตัดขาย (Trailing Stop) หรือการกำหนดจุดตัดขายจากเส้นแนวโน้มให้ดีเพื่อช่วยในการออกหุ้นของคุณ ซึ่งพวกคุณอาจจะสามารถหาความรู้เพิ่มเติมได้จากการอ่านหนังสือเกี่ยวกับ Candlesticks หรืออ่านหนังสือ Encyclopedia of Chart Reading เขียนโดย Bulkowski

8. จำไว้ให้ดีว่า “หุ้นจะวิ่งวอลุ่มต้องเข้า” ดังนั้นจงรู้จักสังเกตุพฤตติกรรมของการซื้อขายหรือวอลุ่มของหุ้นที่คุณซื้อและรู้ว่าจะจัดการอย่างไรเมื่อเห็นการเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงของวอลุ่มการซื้อขาย ซึ่งคุณจะสามารถสังเกตุเห็นได้จากการอ่านกราฟ วอลุ่มคือกุญแจแห่งความสำเร็จในการวิ่งของราคา

9. มีหุ้นมากมายที่อยู่ในการแนะนำให้ซื้อหลังจากหุ้นวิ่งทะลุแนวต้านทำ New high อย่างไรก็ตามแค่การที่มันถูกแนะนำไม่ได้แปลว่าคุณควรที่จะซื้อมันหลังจากที่มันวิ่งทะลุแนวต้านไปแล้ว คุณควรที่จะสังเกตุพฤตติกรรมของราคาและวอลุ่มในระหว่างวันหลังจากมันวิ่งทะลุขึ้นไป และดูประกอบกับสภาพตลาดโดยรวมด้วย

10. คุณไม่ควรเล่นหุ้นด้วย Margin หากคุณยังไม่ชำนาญในตลาดหุ้น ในการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค และที่สำคัญคือการควบคุมอารมณ์ของคุณ เพราะ Margin จะทำให้คุณหมดตัวได้


ขอขอบคุณ mangmaoclub

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการดูข่าว Forex Market


ติดตามข่าว Forex Factory  วิธีการดูข่าวจาก Forex Factory มีดังนี้ครับ



ทำตามขั้นตอนเสร็จแล้ว กด Save ครับ ต่อไปดูวิธีการดูข่าวครั


มาดูความหมายต่างๆ ซึ่งเป็นส่วยสำคัญในการวิเคราะห์ครับ


  • Actual : เป็นความจริงที่เกิดขึ้นหลังจากมีการประมาณการแล้ว
  • Forecast : เป็นการประมาณการว่าจะเป็นไปในอนาคต
  • Previous : เป็นเวลาก่อนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ยกตัวอย่างครับ



วิเคราะห์ดู EUR ทั้ง 3 ตัวที่ผมวงกลมไว้ครับ 


  • EUR ตัวแรก ข้างหน้าจะเป็นสีแดงเข้ม แสดงว่า มีผลต่อตลาดมากที่สุด (สีแดงเข้ม=มีผลต่อตลาดมาก, สีส้ม=มีผลต่อตลาดปานกลาง, สีเหลือง=มีผลต่อตลาดน้อย, สีขาว= ไม่มีผลต่อตลาด)
  • Previous เท่ากับ 45.8 (ก่อนเกิดเหตุการณ์)
  • Forecast เท่ากับ 48.7 (คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น)
  • Actual เท่ากับ 28.7 (เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง)
  • สรุปผล : ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของ Garman ZEW ลดลง จาก 45.8% เหลือเพียง 28.7% มีผลทำให้ค่าเงิน EUR อ่อนตัว
  • การนำไปใช้ : เนื่องจากเนื้อข่าวมีผลกระทบต่อตลาดมาก (เพราะเป็นสีแดงเข้ม) ทำให้ค่างเิงิน EUR อ่อนค่าลง กราฟที่อยู่ในตลาด Forex ของ EUR ก็จะสู้ของอีกตัวหนึ่งไม่ได้ เช่น EUR/USD ความน่าจะเป็นของกราฟจะตกลง เพราะแรง USD มากกว่า EUR นั้นเองครับ แต่ไม่ได้หมายความว่ากราฟจะเป็นแบบนี้เสมอไปนะครับ มันมีหลายอย่างที่ต้องวิเคราะห์ครับ

หมายเหตุ : หลักการวิเคาะห์หุ้นนั้น บางครั้งต้องใช้จิตวิทยาเข้าช่วยด้วยเหมือนกันนะครับ ยกตัวอย่างข่าวด้านบน คนส่วนใหญ่จะวิเคราะห์ว่าหุ้นนั้นจะลง แต่นักเล่นหุ้นเก่งๆเค้าจะยังไม่รีบขายครับ เค้าจะรอดูว่ามีคนรีบขายเยอะแค่ไหน ถ้ามีไม่มาก พวกนี้เค้าจะรอซื้อหุ้นเพื่อที่จะดันหุ้นให้ขึ้นไปครับ ซึ่งกราฟอาจจะออมมาในรูปแบบ ลงสักแปบนึงแล้วก็ขยับตัวสูงขึ้นครับ แต่มันก็อยู่ที่หลายหตุการณ์นะครับ ต้องวิเคราะห์ให้ดี

ข่าว และซีกแนลตลาด Forex เพิ่มเิติม

http://www.rttnews.com/Content/Forex.aspx

http://www.msnbc.msn.com/

http://www.reuters.com/

http://www.cnbc.com/

bloomberg.com

สำหรับท่านที่ชอบข่าวเป็นภาษาไทย  www.ryt9.com


การวิเคราะห์ข่าวจากเว็บข่าว Forex Factory

การอ่านข่าวใน ForexFactory.com
Forex News: ข่าวที่มีผลต่อตลาดเงิน จะเป็นข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเงินของประเทศต่างๆ ข่าวของแต่ละประเทศ จะมีผลต่อค่าเงินของประเทศนั้น ข่าวที่มีผลต่อค่าเงินมาก ตัวอย่าง เช่น อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate), อัตราจ้างงาน (Employment Change), การประกาศตัวเลข GDP


ถ้าข่าวเศรษฐกิจ ของประเทศ ออกมาดี เช่น การจ้างงานเพิ่มขึ้น, GDP เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นเพิ่มขึ้น ตัวเลขออกมาดี คนแย่งกันซื้อ ค่าเงินก็จะสูงขึ้น ตามหลัก อุปสงค์/อุปทาน ถ้าข่าวออกมาเศรษฐกิจ ไม่ดี คนย่อมไม่อยาก จะถือเงินนั้นไว้ พากันเทขายออกมา ค่าเงินจึงลดลง



เมื่อเรารู้ว่าข่าวทำให้ค่าเงินนั้นๆ ขึ้น จะมีผลต่อราคาคู่เงินที่เราเล่น อย่างไร ตัวอย่างเช่น ถ้าข่าวออกมาแล้วค่าเงิน USD (ดอลล่าร์สหรัฐฯ) แข็งขึ้น ดอลล่าร์สูงขึ้น คู่เงินที่มี USD นำหน้า ราคาจะวิ่งขึ้นไป เช่น (USD/JPY, USD/CHF, USD/CAD) และคู่เงินที่มี USD ข้างหลัง ราคาก็จะลดลง เพราะตัวหารเพิ่มขึ้น เช่น (EUR/USD, GBP/USD, AUD/USD, NZD/USD) ถ้า USD อ่อนลง ก็กลับกัน

ข่าวที่สำคัญๆ จะมีต่อค่าเงินมาก ณ.เวลาที่ข่าวออก ราคาของคู่เงินอาจ ขึ้น/ลง มากกว่า 100 จุด ขึ้นอยู่กับ ผลของข่าว ผู้ที่ต้องการเล่นข่าวห้ามพลาดเด็ดขาด ผู้ที่เล่นเทคนิค เล่นตามซิกแนล ควรหลีกเหลี่ยงช่วงข่าวสำคัญ จึงควรศึกษาเกี่ยวกับข่าวให้ดี ถ้าเรามีความรู้เรื่องเศรษฐกิจ การเงิน จะเป็นประโยชน์มากในการวิเคราะห์ข่าวต่างๆ

ขอแนะนำเว็บ www.ForexFactory.com ที่นิยมใช้ในการดูข่าว จะมีปฏิทินแสดงข่าวต่างๆ สามารถดูล่วงหน้า หรือย้อนหลังได้ ถ้ามีเวลาลองเปิดไปดู ข่าวเก่าๆ แล้วลองศึกษาเทียบกราฟราคา ดูผลของข่าวก็ดีครับ

ความหมายข่าวใน ForexFactory.com
ระดับที่เรียกว่าสำคัญมากมีอะไรบ้าง... : ลำดับ ชื่อในปฏิทิน
1 Non farm Payrolls
2 Unemployment Rate
3 Trade Balance : โดยปกติประกาศทุกวันที่ 20 ของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของ 2 เดือนก่อนหน้านี้ โดยการประกาศจะบอกให้รู้ถึงทิศทางของการส่งออกและการนำเข้า ซึ่งตัวเลข Trade Balance จะสามารถคาดคะเนตัวเลข GDP ในอนาคตได้ ตัวเลข Trade Balance จะนำค่าตัวเลข Export ลบกับ ตัวเลข Import หากผลที่ออกมามีค่าเป็น + จะหมายถึงเศรษฐกิจที่ดี และมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย
4 GDP ( Gross Domestic Production ) : จะประกาศทุก ๆ สัปดาห์ที่ 3 หรือ 4 ของเดือน โดย GDP คือตัววัดที่กว้างที่สุดเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจ การที่ตัวเลข GDP เปลี่ยนแปลงไปจะหมายถึงความเปลี่ยนแปลงของอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งจะบ่งบอกเกี่ยวพันถึงอัตราเงินเฟ้อ การที่ตัวเลข GDP เพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย
5 PCE Price Deflator ( Personal Consumption Expenditure) : ประกาศทุก ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน โดย PCE จะบอกถึงการอุปโภคบริโภคของภาคครัวเรือน โดย PCE จะบ่งบอกถึงความสามารถในการจับจ่ายของภาคครัวเรือน โดยตัวเลข PCE ที่สูงจะบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่เติบโต ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
6 CPI ( Consumer Price index ) : ประกาศทุก ๆ วันที่ 13 ของเดือน โดย CPI จะเป็นตัววัดเกี่ยวกับระดับราคาของสินค้าและบริการที่ซื้อโดยผู้บริโภค CPI ที่เห็นประกาศกันจะมี CPI กับ Core CPI ซึ่งต่างกันตรงที่ว่า Core CPI จะไม่รวม ภาคอาหารและ ภาคพลังงานโดยปกติ CPI จะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงอัตราเงินเฟ้อ โดยตัวเลข CPI ที่สูงจะเป็นตัววัดเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง
7 TICS ( Treasury International Capital System ) : ประกาศทุกวันที่ 5 ของการทำงานในแต่ละเดือน โดย TIC จะรวบรวมข้อมูลของ US เพื่อดูว่าการลงทุนของคน US และ คนต่างชาติเป็นอย่างไรบ้าง โดยหากข้อมูล TICS เป็นตัวเลขที่สูงจะหมายถึงเศรษฐกิจของ US ที่แข็งแกร่งซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
8 FOMC ( Federal open Market committee meeting ) : จะประชุมเมื่อไร ไม่มีตายตัวแน่นอน แล้วแต่เค้าจะนัดกัน โดยการประชุมจะดูภาพรวมและผลของการประชุมที่สนใจกันคือเรื่องของอัตราดอกเบี้ย การปรับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
9 Retail Sales : ประกาศทุกวันที่ 13 ของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของเดือนที่แล้ว โดยจะวัดจากใบเสร็จของการค้าปลีก ซึ่งโดยปกติจะมองในภาพของสินค้า ซึ่งจะไม่สนใจเรื่องของบริการ และอื่น ๆ (เช่นพวกค่าเบี้ยประกัน หรือค่าทนาย) Retail Sales ที่ไม่รวมการซื้อรถ จะเรียกว่า Core Retail Sales โดยการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขการขายจะหมายถึงราคาที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้หมายถึงความต้องการซื้อที่ลดลง การที่ตัวเลข Retail Sales มีตัวเลขที่สูงหมายถึงเศรษฐกิจที่ดีและแข็งแกร่ง ซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
10 Univ. Of Michigan Consumer Sentiment Survey : ออกทุกวันศุกร์ที่สองของเดือน โดย Michigan Index จะเปรียบเทียบระหว่างดัชนีสองตัวคือ สิ่งที่คาดหวัง และสิ่งที่เป็นไปจริง ๆ ถ้าสิ่งที่คาดหวังไว้และสิ่งที่เป็นจริงมีค่าใกล้เคียงกัน หมายถึงเศรษฐกิจเป็นไปในแนวทางเดียวกับที่หวังไว้ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
11 PPI ( Producer Price Index ) : ประกาศแถว ๆ วันที่ 11 ของเดือนซึ่งจะเป็นข้อมูลของเดือนก่อน PPI จะเป็นตัววัดราคาของสินค้าในมุมมองของการค้าส่ง PPI ที่ไม่รวมพวกอาหารและพลังงานจะเรียกว่า Core PPI ซึ่งจะถูกจับตามองมากกว่า เพราะจะมีผลกับอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจาก PPI จะเป็นตัวที่ออกมาก่อน CPI หาก PPI มีค่าสูงมักจะทำให้ CPI มีค่าที่สูงตามไปด้วย ดังนั้นการที่ PPI มีค่าสูงจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง

ระดับที่เรียกว่าสำคัญ... : ลำดับ ชื่อในปฏิทิน
12 Weekly Jobless Claims : ประกาศทุกวันพฤหัส จะเป็นข้อมูลของสัปดาห์ปัจจุบันรวมถึงวันศุกร์ที่แล้วด้วย ซึ่งจะบอกถึงการว่างงาน โดยปกติจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงได้จากข้อมูลก่อนหน้าย้อนหลังไปราว ๆ 4 สัปดาห์ แล้วมาทำเป็นกราฟ ทั่วไปแล้วหากมีความเปลี่ยนแปลงเกิน 30,000 จะเป็นสัญญาณบอกถึงการจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไป (อาจจะดีขึ้นหรือแย่ลง) ตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นหมายถึงคนว่างงานที่มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินอ่อนค่าลง
13 Personal Income : ประกาศแถว ๆ วันที่ 5 ของการทำงานในแต่ละเดือน Personal Income เป็นตัววัดเกี่ยวกับรายได้ (ไม่สนว่าจะได้มาจากไหน เช่นพวก ค่าเช่า, ได้มาจากรัฐ, เงินเดือน, ดอกเบี้ย หรืออื่น ๆ) โดยตัวนี้จะเป็นตัวชี้ถึงความต้องการในการบริโภคในอนาคต (แต่ไม่เสมอไปนะ เพราะบางทีรายได้ที่มากขึ้น แต่คนอาจจะไม่จับจ่ายใช้สอยก็ได้) ตัวเลข Personal Income ที่สูงจะหมายถึงอำนาจในการซื้อและเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเศรษฐกิจน่าจะดี ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
14 Personal spending : ประกาศแถว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า Personal Spending จะเป็นตัวเลขเกี่ยวกับรายจ่ายของบุคคล การจับจ่ายที่ลดลงจะหมายถึงรายได้ที่ลดลง ซึ่งจะทำให้กระแสเงินโดยรวมลดลง (แต่ก็เช่นเดียวกับ Personal Income บางทีการจ่ายลดลงไม่ได้หมายถึงรายได้ที่ลดลง แต่อาจจะไม่อยากจะจับจ่ายก็เป็นได้) ตัวเลขการจับจ่ายที่มากขึ้น จะเป็นสัญญาณที่บ่งว่าเศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

15 BOE Rate Decision ( Bank Of England ) : การประกาศตัวเลขอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ US จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้น ๆ เปลี่ยนแปลงไป โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น โดยปกติการปรับอัตราดอกเบี้ยจะคำนึงถึง 2 อย่างคือ 1.อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (อาจจะอ่อนไป หรือแข็งไป) และ2.อัตราเงินเฟ้อ และเงินฝืด (ECB ประกอบไปด้วย 25 ประเทศในยุโรป คือ Italy, France, Luxembourg, Belgium, Germany,Netherlands, Denmark, Ireland, United Kingdom, Greece, Spain, Portugal, Austria, Finland, Sweden,Czech Republic, Estonia, Cyprus, Latvia, Lithuania, Hungary, Malta, Poland, Slovakia และSlovenia)
16 ECB Rate Decision ( Europe Central Bank )
17 Durable Goods orders : ประกาศแถว ๆ วันที่ 26 ของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของเดือนก่อน โดยจะเป็นตัววัดปริมาณของการสั่งสินค้า การส่งสินค้า โดยจะเป็นตัววัดถึงภาคการผลิต ซึ่งหากว่าเศรษฐกิจมีปัญหาจะส่งผลให้ปริมาณการสั่งสินค้าลดลง ตัวนี้จะเป็นเหมือนตัวบอกถึง GDP และ PDE การที่ตัวเลข Durable Goods Orders มีค่าที่มากขึ้น จะบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
18 ISM Manufacturing Index ( Institute of Supply Manager ) : ออกทุกวันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า ตัวนี้จะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงภาคการผลิต ซึ่งรวบรวมข้อมูลอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับ การสั่งซื้อสินค้าใหม่, การผลิต, การจ้างงาน, สินค้าคงคลัง, เวลาในการขนส่ง, ราคา, การส่งออก และการนำเข้า การที่ตัวเลข ISM มีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจะแสดงถึงเศรษฐกิจที่ดี และสามารถทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นได้
19 Philadelphia Fed. Survey : ออกราว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า โดยการสำรวจนี้จะมองมุมกว้างในทิศทางของภาคการผลิต ซึ่งจะมีความสัมพันธ์ร่วมกับ ISM ที่มองเป็นลักษณะของการผลิตเป็นตัว ๆ ไป โดย Philadelphia Fed Survey จะบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของยุทธวิธีของผู้ผลิต ประกอบด้วย ชั่วโมงการทำงาน, พนักงาน และอื่น ๆ ซึ่งตัววัดตัวนี้มีความสำคัญมากในระบบเศรษฐกิจ การที่ตัวเลขเพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น

20 ISM Non-Manufacturing Index : ออกราว ๆ วันที่สามของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน ซึ่งเป็นการสำรวจของกลุ่ม การเงิน, ประกันภัย, อสังหาริมทรัพย์, สื่อสาร และ ทั่วไป การที่ตัวเลข ISM เพิ่มขึ้นหมายถึง demand ที่เพิ่มขึ้น และทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
21 Factory Orders : ออกราว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน Factory Order เป็นการวัดการสั่งสินค้าทั้งหมด การสั่งสินค้าที่สูงหมายถึง demand ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
22 Industrial Production & Capacity Utilization : ออกราว ๆ กลางเดือน เป็นข้อมูลย้อนหลัง 1 เดือน ซึ่งเป็นตัววัดว่าการผลิตของอุตสาหกรรมได้ผลออกมาจริง ๆ เท่าไร การที่ตัวเลขออกมาสูงขึ้นหมายถึง demand ที่เพิ่มขึ้น มีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
23 Non-Farm Productivity : ออกราว ๆ วันที่ 7 ของเดือนที่ 2 ของ ควอเตอร์ เป็นข้อมูลของควอเตอร์ที่แล้ว อันนี้เป็นตัววัดของผลงานของคนงานและต้นทุนในการผลิตของสินค้า ในสถาวะที่เงินเฟ้อมีความสำคัญตัวเลขนี้ สามารถที่จะทำให้ตลาดเคลื่อนไหวได้ โดยถ้าตัวเลขที่ลดลงสามารถบอกถึงอนาคตที่เปลี่ยนไป เช่นตัวเลข GDP ที่ดี แต่ถ้าตัวเลขนี้ขัดกันก็สามารถทำให้ตลาดมีผลกระทบได้ การที่ตัวเลข Non-Farm Productivity เพิ่มขึ้น หมายถึงการยืนยันในเรื่องของพื้นฐานของเศรษฐกิจที่ดี และส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
24 Current Account Balance : ออกราว ๆ วันที่ 7 ของเดือนที่ 2 ของ ควอเตอร์ เป็นข้อมูลของควอเตอร์ที่แล้ว Current Account Balance จะบอกถึงความแตกต่างของเงินสำรอง และการลงทุน ตัวนี้เป็นตัวสำคัญในส่วนของการซื้อขายกับต่างประเทศ ถ้า Current Account Balance เป็น + จะหมายถึงเงินออมในประเทศมีสูง แต่ถ้าเป็น - จะหมายถึงการลงทุนภายในประเทศเป็นเงินจากต่างประเทศมาลงทุน ถ้า Current Account Balance เป็น + ส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
25 Consumer Confidence ( Consumer Sentiment ) : ออกทุกวันอังคารสุดท้ายของเดือน เป็นข้อมูลเดือนปัจจุบัน เป็นการสำรวจในแต่ละครัวเรือน โดยตัวเลขตัวนี้จะมีความสัมพันธ์กับเรื่องของ การว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ และรายได้ที่แท้จริง การที่ตัวเลขมีค่าที่เพิ่มมากขึ้นหมายถึงเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ค่าเงินแข็งค่า
26 NY Empire State Index - ( New York Empire Index ) : ออกทุกสิ้นเดือน โดยเป็นการสำรวจจากผู้ผลิต หากตัวเลขมีค่ามากขึ้น จะทำให้ค่าเงินแข็งค่า
27 Leading Indicators : ออกราว ๆ สองสามวันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน ซึ่งจะเป็นบทสรุปของตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ ประกอบไปด้วย New Order, Jobless Claim,Money Supply, Average Workweek, Building Permits และ Stock Prices
28 Business Inventories : ออกราว ๆ กลางเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการขายและสินค้าคงคลังจากภาคการผลิต การค้าส่ง และการค้าปลีก ตัวเลขที่สูงขึ้นของ Business Inventory หมายถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ดี ซึ่งทำให้ค่าเงินแข็งค่า
29 IFO Business Index ( Institute of IFO in Germany ) : ประกาศในสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลเดือนก่อน ซึ่งเป็นตัวที่ดูเกี่ยวกับภาคธุรกิจของประเทศเยอรมัน ตัวเลขที่สูงหมายถึงเศรษฐกิจที่ดี จะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

ระดับปานกลางถึงทั่วไป โดยมากใช้เป็นตัววัดพื้นฐาน... : ลำดับ ชื่อในปฏิทิน
30 Housing Starts
31 Existing Home sales
32 New Home Sales
33 Auto and Truck sales
34 Employee Cost Index - Labor Cost Index
35 M2 Money Supply - Money Cost
36 Construction Spending
37 Treasury Budget
38 Weekly Chain Stores - Beige Book -Red Book
39 Whole Sales Trade
40 NAPM ( National Association of Purchasing Management)

Post By : www.forexpropip.blogspot.com , 
http://marketiwa-thai.blogspot.com