แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ indicator แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ indicator แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การใช้ STOCHASTICS ช่วยวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน



STOCHASTICS  คือ ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคาที่ศึกษาความสัมพันธ์ การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่งๆ กับราคาปิด โดยมาจากข้อสังเกตที่ว่า ถ้าการสูงขึ้นของราคานั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป ราคาปิดของหุ้นนั้นจะอยู่ใกล้กับราคาสูงสุด แต่ถ้าราคาของมีแนวโน้มลดต่ำลง ราคาปิดจะอยู่ในระดับเดียวกับราคาต่ำสุดของวัน
ความสัมพันธ์ระหว่าง ราคาสูงสุด-ต่ำสุดกับราคาปิด ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสูตรสมการในการดูแนวโน้มขึ้น หรือลงของราคาหุ้นในช่วงสั้น ๆ โดยนำมาใช้ดูว่า ราคาปิดอยู่ที่ระดับกี่เปอร์เซ็นต์ของช่วงราคาที่ซื้อขายในช่วงระยะเวลา หนึ่ง

หลักการเบื้องต้นในการคำนวณ  STOCHASTICS

     เส้น  %K เป็นเส้น  STOCHASTICS
     เส้น  %D  เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น  %K

            %K       =          ราคาปิด (วันนี้) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)      
                                   ราคาสูงสุด (ในช่วง n วัน) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)
            %D       =   ค่าเฉลี่ย (n วัน) ของค่า %K

ความหมายของระดับ 0% และ 100%

ระดับ 0%  หมายถึงระดับที่บอกภาวะขายมากไป  (OVERSOLD) ของราคาแต่ ณ ระดับนี้ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะลดลงต่ำกว่านี้อีกไม่ได้ เพียงแต่บอกว่า ณ ระดับนี้ราคาอาจหยุดพักชั่วคราว หรืออาจดีดตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ราคาจะตกลงต่อระดับ 0%

ระดับ 100 % หมายถึงระดับที่บอกภาวะซื้อมากไป (OVERBOUGHT) ของราคา แต่ ณ ระดับนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาจะไม่สามารถวิ่งขึ้นสูงต่อไปได้ แต่กลับชี้ให้เห็นว่าหุ้นมีความแข็งแรง จน สามารถผลักดันให้เส้น STOCHASTIC ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100% ได้ อย่างไรก็ดี ณ ระดับราคานี้  STOCHASTIC   อาจมีการปรับตัวลงมาบ้าง แต่เป็นการปรับตัวเพื่อลดภาวะ OVERBOUGHT  มากกว่า

STOCHASTICS  คือ ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคาที่ศึกษาความสัมพันธ์ การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่งๆ กับราคาปิด โดยมาจากข้อสังเกตที่ว่า ถ้าการสูงขึ้นของราคานั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป ราคาปิดของหุ้นนั้นจะอยู่ใกล้กับราคาสูงสุด แต่ถ้าราคาของมีแนวโน้มลดต่ำลง ราคาปิดจะอยู่ในระดับเดียวกับราคาต่ำสุดของวัน
ความสัมพันธ์ระหว่าง ราคาสูงสุด-ต่ำสุดกับราคาปิด ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสูตรสมการในการดูแนวโน้มขึ้น หรือลงของราคาหุ้นในช่วงสั้น ๆ โดยนำมาใช้ดูว่า ราคาปิดอยู่ที่ระดับกี่เปอร์เซ็นต์ของช่วงราคาที่ซื้อขายในช่วงระยะเวลา หนึ่ง
 
หลักการเบื้องต้นในการคำนวณ  STOCHASTICS

     เส้น  %K เป็นเส้น  STOCHASTICS
     เส้น  %D  เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น  %K

            %K       =          ราคาปิด (วันนี้) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)      
                                   ราคาสูงสุด (ในช่วง n วัน) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)
            %D       =   ค่าเฉลี่ย (n วัน) ของค่า %K

ความหมายของระดับ 0% และ 100%

ระดับ 0%  หมายถึงระดับที่บอกภาวะขายมากไป  (OVERSOLD) ของราคาแต่ ณ ระดับนี้ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะลดลงต่ำกว่านี้อีกไม่ได้ เพียงแต่บอกว่า ณ ระดับนี้ราคาอาจหยุดพักชั่วคราว หรืออาจดีดตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ราคาจะตกลงต่อระดับ 0%

ระดับ 100 % หมายถึงระดับที่บอกภาวะซื้อมากไป (OVERBOUGHT) ของราคา แต่ ณ ระดับนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาจะไม่สามารถวิ่งขึ้นสูงต่อไปได้ แต่กลับชี้ให้เห็นว่าหุ้นมีความแข็งแรง จน สามารถผลักดันให้เส้น STOCHASTIC ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100% ได้ อย่างไรก็ดี ณ ระดับราคานี้  STOCHASTIC   อาจมีการปรับตัวลงมาบ้าง แต่เป็นการปรับตัวเพื่อลดภาวะ OVERBOUGHT  มากกว่า
 

  1. %K ตัดกับ %D

    STO จะมีสองเส้นมาให้ใช้งาน ประกอบด้วย เส้น %K เส้นหลัก กับเส้น %D เส้นรอง โดยเราจะยึดดู %K เป็นหลัก

    หาก %K ตัด %D ขึ้นมาได้ จะเป็นสัญญาณซื้อ
    และหาก %K ตัด %D ลงมา จะเป็นสัญญาณขาย


2. Overbought กับ Oversold (สภาวะที่หุ้นมีการซื้อมากเกินไป และขายมากเกินไป)

                เครื่อง มือชนิดนี้ จะแกว่งตัวในกรอบ 0-100 แต่ในทางเทคนิค เขาจะมีโซนตัวเลขให้พิจารณาอยู่สองโซนด้วยกันครับ  โดยยึดค่า %K เป็นหลักนะครับ  

โซน แรกคือ โซนตัวเลข 0-20% โซนนี้ จัดให้อยู่ในโซน "Oversold หรือสภาวะที่มีการขายหุ้นมากเกินไป"  และโซนที่สองคือโซนตัวเลข 80-100%  จะจัดให้อยู่ใน "สภาวะที่หุ้นมีการซื้อมากเกินไป หรือ Overbought"



3. Bullish Divergence และ Bearish Divergence

สำหรับประเด็นนี้ แนวคิดต่างๆ ก็จะเหมือนกับ MACD และ RSI ครับ

เมื่อใดที่เกิด Divergence ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะจะเป็นนัยว่า หุ้นจะเปลี่ยน Trend ในอนาคตอันใกล้นี้
การเกิด Divergence แต่ละครั้ง มักจะใช้เวลาที่มากพอสมควรในการก่อตัวเป็นรูปร่าง Divergence
และหากเกิด Divergence ในเขต Overbought หรือ Oversold ก็ยิ่งถือว่ามีนัยยะด้วยครับ

หลักการอ่าน  STOCHASTICS
สัญญาณเตือน “ซื้อ” เกิดขึ้นเมื่อเส้น  STOCHASTICS เข้าเขต  OVERSOLD ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณ “ซื้อ” จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้น

สัญญาณเตือน “ขาย” เกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต OVERBOUGHT ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80% และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณ “ขาย” จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลง
 


การใช้ MACD ช่วยวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน


MACD เป็นเครื่องมือที่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับราคา (TREND FOLLOWING) สามารถใช้วัดระดับ (DEGREE) ตลาดว่าเป็นตลาดขาขึ้น หรือตลาดขาลง 

ค่ามตรฐานสำหรับ MACD อยู่ที่ 12,26,9 ผู้เทรดสามารถใช้ MACD เพื่อช่วยในการระบุพฤติกรรมของเทรนหรือราคาได้เช่น ราคากำลังเป็นเทรน

ราคากำลังชะลอตัวหรือสะสมแรง หรือ ราคากำลังจะกลับตัว MACD มีส่วนประกอบอยู่ 3 อย่างคือ


1. เส้น Moving Average
2.แท่ง Histogram
3.เส้น Zero Line


MACD แบบ Histogram สามารถบอกผู้เทรดได้ถึงภาวะของเทรนซึ่งมีอยู่ 3 สถานะคือ

1. สภาวะที่กราฟเป็นเทรน

2. สภาวะที่กราฟชะลอตัว

3. สภาวะที่กราฟกลับตัว


สัญญาณจาก MACD แบบ Histogram ที่บ่งบอกว่าราคาเป็นเทรนขึ้น (UPTREND) เมื่อกลุ่มของแท่ง Histogram สามารถยืนเหนือเส้น Moving Average

ใน MACD ได้และเส้น Moving Average ใน MACD และกลุ่มของ Histogram สามารถยืนเหนือเส้น Zero Line ได้ จากนั้นแท่ง Histogram ลู่ขึ้นเรื่อย ๆ



สัญญาณจาก MACD แบบ Histogram ที่บ่งบอกว่าราคากำลังชะลอตัว (UPTREND SIDEWAY) กลุ่มของ Histogram อยู่ต่ำกว่าเส้น Moving Average

ใน MACD และเส้น Moving Average ใน MACD และกลุ่มของ Histogram สามารถยืนเหนือเส้น Zero Line ได้


สัญญาณจาก MACD แบบ Histogram ที่บ่งบอกว่าราคากำลังกลับตัวจากเทรนขึ้นเป็นลง (Reversal) เมื่อกลุ่มของ Histogram อยู่ต่ำกว่าเส้น
Moving Average ใน MACD จากนั้นแท่ง Histogram ลู่ลงเรื่อย ๆ และเส้น Moving Average ใน MACD และกลุ่มของ Histogram

สามารถยืนอยู่ใต้เส้น Zero Line


วิธีการเทรดจาก MACD 

ผู้เทรดไม่จำเป็นต้องรอให้ Histogram หรือเส้น Moving Average ใน MACD ตัด Zero Line เมื่อเห็นแท่ง Histogram

เริ่มตัดกับเส้น Moving Average ผู้เทรดสามารถเทรดตามทางนั้นได้เลยครับ เพราะมันจะเป็นการเข้าที่ภาวะราคาชะลอตัวพอดี



Credit http://www.thaiforexschool.com

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Nial Fuller เทรดเดอร์ค่าเงินสไตล์ Price action

Nial Fuller คือเทรดเดอร์อิสระที่เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเทรดเดอร์ค่าเงินสไตล์ price action ที่พยายามเผยแพร่แนวคิดและวิธีการในการทำกำไรของเขาผ่านเว็บไซต์ส่วนตัว ด้วยแนวคิดที่เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน บวกกับความสามารถในการถ่ายทอดที่ทำให้มือใหม่ทั้งหลายสามารถเรียนรู้ได้ ทำให้เขาเป็นอาจารย์สอนเทรดค่าเงินที่มีผู้ติดตามมากที่สุดคนนึง ในแต่ละปีจะมีผู้ติดตามอ่าน website ของเขามากกว่า 500,000 คน 
เทคนิคการเทรดค่าเงินของ Nial นั้นจะใช้สไตล์ price action เท่านั้น เขาจะไม่สนใจอินดิเคเตอร์ โดยหลักการของเขาคือเขาจะพิจารณาว่าราคาได้ “กระทำต่อ” แนวรับแนวต้านอย่างไร รวมถึงการดูรูปแบบการฟอร์มตัวของแท่งเทียน เพื่อหาจังหวะเข้า order เขาอธิบายว่า กราฟที่ดูสับสนวุ่นวายด้วย indy เต็มหน้าจอ นอกจากจะทำให้คุณเครียดเพราะเข้าใจมันยากแล้ว คุณยังต้องปวดหัวกับการตีความมันด้วย สุดท้ายคุณคงต้องสับสนในตัวเองแน่ๆ เขาบอกว่าทำไมคุณไม่ทำให้มันง่ายกว่านั้นล่ะ ในเมื่อกราฟเปล่าๆ ก็สามารถช่วยให้คุณหาแนวโน้มและทิศทาง รวมถึงหาจังหวะเข้าเทรดได้เหมือนกัน


Messy Chart
Clean Chart
สำหรับวิธีการเทรดโดยใช้ price action นั้น Nail เผยว่าเขาใช้หลักการฟอร์มตัวของแท่งเทียนเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการกลับตัวแบบ Pin bar ,การฟอร์มตัวของ inside bar และ fakey ในการพิจารณาแนวโน้มของราคารวมถึงการหาจังหวะเขาเทรด

คุณต้องทำให้การเทรดของคุณเป็นเรื่องที่เรียบง่าย และที่สำคัญคือคุณต้องวางแผนการเทรดก่อนการเข้าเทรดทุกครั้ง เพื่อเป็นการควบคุมอารมณ์ของคุณ ไม่ให้ความโลภมาครอบงำคุณในช่วงเวลาที่ลงสนามจริง เพราะสิ่งที่จะตัดสินว่าคุณจะทำกำไรจากตลาดแห่งนี้ได้อย่างสม่ำเสมอหรือไม่ไม่ใช่ระบบเทรด ไม่ใช่วิธีการเข้า order แต่มันคือความสามารถในการควบคุมอารมณ์และจิตใจที่เข้มแข็งเท่านั้น
คุณเป็นเทรดเดอร์สไตล์ไหน Day trader หรือ Swingtrader? 
Nial Fuller : ในทางทฤษฎีผมเป็นทั้งสองแบบครับ มันขึ้นกับสภาวะตลาดและรูปแบบการฟอร์มตัวของแท่งเทียนที่ผมเห็นโอกาสในการเข้าเทรด ผมจะเทรดใน Time frame 4 ชั่วโมง และ 1 วัน นั่นทำให้ผมมีโอกาสในการเข้า order ทั้งขาขึ้นและขาลง อืม….ผมว่าคงเป็นเพราะสไตล์การเทรดที่มีความยืดหยุ่นของผมที่ทำให้ผมไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองเป็นเทรดเดอร์สไตล์ไหน แต่ถ้าให้ตอบจริงๆ ก็นั่นแหละครับ ผมเป็นได้ทั้งสองอย่าง
คุณใช้กราฟ Time frame ไหนในการเทรด?
Nial Fuller : อย่างที่ผมบอกไปแล้ว ผมจะเทรดบนกราฟ 1 วัน, 4 ชั่วโมง และบางครั้งก็ 1 ชั่วโมงด้วย ผมสนับสนุนให้เทรดโดยการใช้ price action ใน time frame ที่ใหญ่หน่อย ในความเห็นผม ผมว่านี่เป็นสาเหตุที่ทำไมคนส่วนใหญ่จึงล้มเหลวในการเทรดค่าเงิน พวกเขายึดติด และมัวแต่เพ่งหน้าจอในกราฟย่อยๆ ทำให้พวกเขามองไม่เห็นภาพรวมของตลาด ผมจะเทรดด้วยแนวคิดและแผนการที่มีความชัดเจนใน time frame เหล่านี้ โดย TF 1 วัน จะสามารถบอกเทรนของราคา ระดับราคาที่มีนัยต่อการกลับตัว แนวรับแนวต้าน ผมว่านี่คือสิ่งที่มือใหม่ควรจะเรียนรู้

หลักการพื้นฐานของกลยุทธ์ในการเทรดของคุณคืออะไร ?
Nial Fuller : ผมใช้ Price action ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เรียบง่าย ไม่มี indicators โดยทั่วไปผมจะเทรดตามเทรนร่วมกับการใช้ระดับของราคาที่มีนัยในการมองทิศทาง โดยใช้รูปแบบการกลับตัวของ Price action ในการ confirm สัญญาณการเข้า order
สิ่งที่ผมทำอยู่มันเป็นอะไรที่เรียบง่าย และระหว่างเทรดผมจะไม่เปลี่ยนแผนกลางคัน เพราะผมจะเชื่อมั่นในเหตุผลที่ผมเข้าเทรด โดยมันจะต้องมีเหตุผลหรือปัจจัยที่จะยืนยันสัญญาณการเข้าเทรด ซึ่งผมใช้ระดับราคาและแนวโน้มหลักในการยืนยันสัญญาณ price action โดยถ้ามันขัดแย้งกันผมก็จะไม่เทรด

คุณเทรดบ่อยแค่ไหน ?
Nial Fuller : ผมต้องขอบอกว่าเฉลี่ยแล้วผมจะเทรดประมาณ 3-4 ครั้งต่อหนึ่งอาทิตย์ ผมรู้ว่ามันฟังดูน้อยแต่เพราะผมต้องการรักษาวินัยในการเทรด ผมจึงหลีกเลี่ยงการเทรดที่มีสัญญาณ confirm ไม่ครบตามกฎของผม จริงๆแล้วมันก็มีโอกาสที่จะเข้าเทรดได้มากกว่านี้ แต่ด้วยประสบการณ์ในการเทรดของผมเกือบ 10 ปี ทำให้ผมพยายามกรองและเลือกเทรดเฉพาะในโอกาสที่มีความน่าจะเป็นมากที่สุด ในอดีต ผมเคยเทรดมากครั้งเกินไปและนั่นทำให้ผมสูยเสียเงินไปจำนวนมากโดยไม่จำเป็น ดังนั้นวันนี้ผมจึงพยายามเลี่ยงที่จะเสียต้นทุนค่าเรียนรู้เหล่านั้น

คุณ set เป้าหมายในการเทรดอย่างไรต่อสัปดาห์หรือต่อเดือน?
Nial Fuller : ผมไม่เชื่อว่าเราจะสามารถวางแผนได้จริงๆหรอกว่าเราสามารถทำเงินได้เท่าไรในแต่ละสัปดาห์หรือในแต่ละเดือน ผมว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่าคือเราต้อง focus ในแต่ละการเทรด ผมแค่พยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่ผมทำได้ เทรดเดอร์หลายคนอาจจะสามารถตั้งเป้ากำไรจากการเทรดของเขาในแต่ละสัปดาห์ แต่นั่นไม่ใช่ผม ผมแค่พยายามวางแผนและวางเป้าในแต่ละไม้ โดยเป้าของผมคือการเทรดที่มี risk/reward ratio = 2: 1 เป็นอย่างน้อยในแต่ละการเทรด

อะไรที่คุณคิดว่าทำให้คุณกลายเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ?
Nial Fuller : ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมได้พยายามตระหนักถึงเรื่องนี้เหมือนกัน ซึ่งผมได้พบว่าสิ่่งที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จในการเทรดนั้น มี 3 ปัจจัยด้วยกัน อย่างแรกก็คือ ผมมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตัวผม นั่นก็คือ การใช้ price action มันเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ซับซ้อนและผมสามารถเข้าใจมันด้วยเหตุผลง่ายๆ แต่ถึงแม้วิธีการเทรดจะสำคัญแต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด อีกปัจจัยคือการที่ผมเริ่มเขียน blog เริ่มเขียนบทวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มตลาด เผยแพร่การเดินทางในการเป็นเทรดเดอร์ของผมเป็นประจำ สิ่งนี้มันทำให้ผมมีวินัยและอยู่กับตลาดตลอดเวลา ส่วนปัจจัยสุดท้ายก็คือการที่ผมไม่เสพติดการเทรด ผมพยายามไม่ให้การเทรดมามีผลต่อวิถีชีวิตของผมมากเกินไป ผมจะไม่เฝ้าดูกราฟตลอดเวลา ผมจะเข้า order แล้วปล่อยให้มันวิ่งไปตามแผนการที่ผมวางไว้ จำไว้ว่าการเฝ้าดูกราฟมากเกินไปจะทำให้อารมณ์มามีผลต่อการเทรดในที่สุด

ขอบคุณ ::  Btrader

วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หลัก 9 ข้อในการเทรด Divergence

การเทรดโดยใช้หลักการดู Divergence เป็นวิธีการเทรดอีกอย่างหนึ่งซึ่งสามารถทำกำไรได้เป็นกอรปเป็นกำในแต่ละครั้งที่คุณพบเจอ เพราะนั่นจะหมายถึงการเปลี่ยนเทรน และ Divergence ก็เป็นสัญญาณเตือนคุณได้อย่างดีว่า เทรนกับลังจะเปลี่ยนไป
เครื่องมือส่วนใหญ่ที่เราจะใช้ในการดู Divergence ก็จะเป็นพวก Oscillator ต่างๆ และที่นิยมใช้กันมากในการดู Divergence ได้แก่ MACD , Stochastic และ RSI เป็นต้น แต่ก่อนอื่นเราลองมาดูหลักในการดู Divergence กันก่อนว่ามีอะไรบ้าง เพื่อที่จะช่วยให้เราไม่พลาดในการเลือกหาจุดเข้าทำกำไร
1. ต้องแน่ใจว่าคุณเห็น Divergence จริงๆ ซึ่งถ้ามี Divergence ราคามักจะมีรูปแบบดังต่อไปนี้ คือ
  • >> ระดับสวิงไฮของราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่าสวิงไฮก่อนหน้า (Higher High :HH)
  • >> ระดับสวิงโลว์ของราคาที่ปรับตัวต่ำกว่าสวิงโลว์ก่อนหน้า (Lower low :LL)
  • >> Double top
  • >> Double  bottom
อย่าเพิ่งมองที่ Indicator จนกว่าคุณจะเห็นว่าราคามีลักษณะดังที่กล่าวมาอย่างน้อยหนึ่งอย่าง และถ้าไม่มีลักษณะดังกล่าวมาเลยแล้ว ก็หมายความว่าไม่มีการเกิด Divergence ดังนั้น อย่าคิดเอาเองว่าเกิด Divergence ถ้าไม่เห็นลักษณะของราคาดังกล่าว

 หลัก 9 ข้อในการเทรด Divergence

2. ให้ลากเส้นระหว่างจุดสูงสุด และ จุดต่ำสุด และหลังจากที่คุณเห็นลักษณะบางอย่างของราคาล่าสุดแล้ว ตอนนี้คุณเห็นแค่ลักษณะ 1 อย่างของ สี่อย่างต่อไปนี่คือ  จุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าจุดสูงสุดเดิม (Higher high), จุดสูงสุดใหม่เท่ากับจุดสูงสุดเดิม (Flat high), จุดต่ำสุดใหม่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดเดิม (Lower low), จุดต่ำสุดใหม่เท่ากับจุดต่ำสุดเดิม (Flat low)
ที่นี้ก็ลากเส้นจากจุดสูงสุดในปัจจุบันไปหาจุดสูงสุดก่อนหน้า และอีกกรณีก็คือลากจากจุดต่ำสุดในปัจจุบัน กลับไปหาจุดต่ำสุดก่อนหน้า ซึ่งมันจะต้องเป็นสวิงที่สำคัญต่อเนื่องกัน และถ้าคุณเห็นว่าระดับความเหลื่อมล้ำของทั้งสองจุดมีน้อยมากก็ไม่ต้องไปสนใจมัน ลืมไปได้เลย

3. ถ้าเห็นสวิงมีระดับที่เหลือมล้ำกันมากๆ ลากเส้นระวห่างสวิงไฮหรือสวิงโลว์  เมื่อคุณเห็นว่าสวิงไฮ 2 สวิงล่าสุดมีระดับที่เหลื่อมล้ำกันมากๆ ก็ให้คุณลากเส้นระหว่างสวิงทั้งสอง และในกรณีที่เป็นสวิงโลว์สองสวิง ก็ให้ลากเส้นเชื่อมต่อระหว่างสองสวิงนั้นเช่นกัน
อย่าพยายามลากเส้นที่ระดับต่ำสุดหากคุณเห็นว่า สวิงไฮได้ทำจุดสูงสุดใหม่ 2 รอบ (Higher high) เพราะนั่นมันจะหมายถึงว่าราคายังอยู่ในเทรนขาขึ้น

 หลัก 9 ข้อในการเทรด Divergence

4. เปรียบเทียบระหว่างราคาและ Indicator เมื่อคุณลากเส้นเชื่อมต่อระหว่างสองจุดของสวิงไฮ หรือสวิงโลว์แล้ว ตอนนี้ก็มาดูที่ Indicator และเปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวของราคา ไม่ว่าเราจะใช้ Indicator ชนิดไหนก็ตาม จำไว้ว่าเรากำลังเปรียบเทียบยอดสวิงไฮ และสวิงโลว์ของ Indicator ดับราคา

 หลัก 9 ข้อในการเทรด Divergence

5. ถ้าคุณลากจุดระหว่างจุดเชื่อมต่อระหว่างสวิงไฮสองจุดของราคาแล้ว คุณก็ต้องลากเส้นที่จุดสูงสุดสองจุดของ Indicator ด้วย และทำเช่นเดียวกันในกรณีที่เป็นสวิงโลว์ ถ้าคุณลากเส้นเชื่อมต่อระหว่างสองสุดของสวิงโลว์แล้ว คุณก็ต้องลากเส้นเชื่อมต่อระหว่างสองจุดต่ำสุดใน Indicator ด้วย

หลัก 9 ข้อในการเทรด Divergence
6. เมื่อเทียบในแนวตั้ง ตรงจุดสูงสุดหรือต่ำสุดที่คุณระบุใน Indicator ต้องเป็นแนวเดียวกันกับที่คุณระบุราคา

 หลัก 9 ข้อในการเทรด Divergence

7. ดูที่ความลาดชัน เพราะ Divergence จะเกิดขึ้นต้องมีความขัดแย้ง หรือมีความลาดชันที่แตกต่างกันของเส้นที่เชื่อมระหว่างจุดสูงสุด หรือ ต่ำสุดสองจุด ใน Indicator และเส้นที่เชื่อมระหว่างสวิงไฮหรือสวิงโลว์ของราคา และความลาดชันจะต้องเป็นอย่างได้อย่างหนึ่ง ระหว่าง เอียงขึ้น (Ascending (rising) เอียงลง(Descending (falling)  หรือเป็นเส้นราบขนานกับพื้น (Flat)

หลัก 9 ข้อในการเทรด Divergence


8. ถ้าคุณตกรถแล้วก็ไม่ต้องรีบ เมื่อคุณเห็นว่า Divergence ได้เกิดขึ้นแล้ว ราคาก็กลับตัวไปได้ซักระยะหนึ่งแล้ว ก็ควรจะเป็นช่วงที่น่าจะพิจารณาว่าจะปิดทำกำไร และถ้าคุณพลาดไม่ได้เข้าตั้งแต่ที่แรก คุณก็พลาดโอกาสไปแล้วและไม่ควรรีบร้อนเปิดออเดอร์ในตอนนี้ แต่คุณควรรอให้ราคาฟอร์มตัวทำสวิงไฮหรือสวิงโลว์ใหม่ และค่อยมองหา Divergence ในครั้งต่อไป

หลัก 9 ข้อในการเทรด Divergence

9. สัญญาณ Divergence ในกรอบราคาใหญ่ๆจะมีแนวโน้มที่แน่นอนมากกว่าในกรอบเวลาที่เล็กกว่า ให้สัญญาณที่ผิดพลาดน้อยกว่า เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยสนใจตรงนี้ แต่ถ้าเราใส่ใจกับมันซักหน่อยก็อาจทำให้เราได้เปรียบในการทำกำไรมากขึ้น
Divergence ในกรอบเวลาที่เล็กกว่าจะเกิดขึ้นบ่อยกว่าแต่มีความน่าเชื่อถือน้อยกว่า เทรดเดอร์บางคนอาจจะมองหา Divergence ใน กรอบเวลาอย่าง 15 นาทีหรือน้อยกว่านั้น แต่มันจะมีสัญญาณรบกวนที่มากเกินไป เราจึงขอแนะนำให้มองเฉพาะ Divergence ในกรอบราคา 1 ชั่วโมงขึ้นไป



Credit:http://www.thaiforexschool.com

4 ความผิดพลาดซ้ำซากในการเทรด


ข้อที่ 1: เทรดโดยไม่มีหลักการ
“ถ้าคุณไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงซื้อหุ้นตัวนั้น คุณก็จะไม่รู้ว่าควรขายมันตอนไหน ซึ่งนั่นมักจะทำให้คุณขายหุ้นทิ้งตอนที่ราคาของมันทำให้คุณกลัว ทั้งๆที่โดยส่วนมากแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณกลัวราคาหุ้นในขณะนั้น มันคือโอกาสซื้อ ไม่ใช่จุดบ่งชี้ว่าคุณควรขายมันทิ้ง”
– Martin Taylor –
ถ้าคุณไม่มีจุดยืน คุณก็ไม่มีแก่นหรือสิ่งใดให้ยึดถือปฏิบัติ ถ้าคุณไม่มีเป้าหมายว่าจะไปที่ใด คุณก็ไม่มีวันไปถึงจุดหมาย… จงกำหนดหลักการ วางแผนการลงทุน และทำตามแผนที่คุณวางไว้เสมอ เพราะถ้าคุณไม่มีแผนการของตนเอง คุณก็จะต้องตกอยู่ในแผนการของคนอื่น

ข้อที่ 2: เข้าซื้อหุ้นไม้ใหญ่เกินไป (Trading too big)
“นักลงทุนมักจะให้ความสำคัญเกือบทั้งหมดไปที่จุดเข้าซื้อ (entry price) ทั้งๆที่โดยส่วนมากแล้ว ขนาดของ lot  (entry size ) ในแต่ละครั้งมีความสำคัญกว่าจุดเข้าซื้อ เพราะหาก entry size แต่ละครั้งใหญ่มากเกินไป เวลาที่ราคาปรับตัวลงอย่างไม่มีนัยสำคัญ มันก็มักจะทำให้คุณกลัวและอกออเดอร์ก่อนทั้งที่ยังมีแนวโน้มดีนั้นทิ้งไป ดังนั้น ยิ่งขนาดของ lotใหญ่มากไปเท่าไร ความกลัวจะเข้ามาครอบงำการตัดสินใจของคุณ แทนที่จะตัดสินใจจากแผนการและประสบการณ์ที่พิจารณาอย่างดีแล้ว”
– Steve Clark –
การเทรดครั้งเดียวใน lot ที่ถือว่ามีสัดส่วนที่เยอะของพอร์ต จะทำให้คุณขายหมูเพราะความกลัวของคุณ ไม่ใช่เพราะระบบลงทุนของคุณบอกให้ขาย ดังนั้น ก่อนที่จะเทรด คุณควรกำหนดจำนวนเงินที่คุณสามารถยอมรับขาดทุนได้ให้อยู่ในระดับที่ไม่เสี่ยงมากไป ตัวอย่างเช่น เงินในพอร์ตมี 1000$ คุณยอมรับขาดทุนได้ 200$/ครั้ง โดยที่จุดตัดขาดทุนของคุณคือ เมื่อราคาทะลุแนวต้านล่าสุดของเมื่อวานไป

ข้อที่ 3: ซื้อขายมากเกินไป (Overtrading)
การที่เราจะเทรดบ่อยขนาดไหนนั้นขึ้นอยู่กับแนวทางการลงทุนของเรา แต่ไม่ว่าคุณจะใช้แนวทางลงทุนแบบไหนก็ตาม การซื้อขายน้อยครั้งย่อมดีกว่าเสมอ (less is more) อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดไป เพราะไม่ว่าคุณจะทำการบ้านหรือเตรียมตัวมาอย่างดีแค่ไหนก็ตาม แต่กราฟนั้นก็มักจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอยู่บ่อยๆ ดังนั้น คุณควรจะมีไอเดียหรือกราฟที่จะเลือกลงทุนมากกว่า 1 ตัวอยู่เสมอ แต่การที่คุณซื้อๆขายๆในค่าเงินทุกตัวที่เกิดสัญญาณ ทำให้เงินลงทุนและพลังงานของคุณถูกกระจายออกไปในกราฟหลายตัวมากจนเกินไปนั้น คงไม่ใช่การตัดสินใจที่ฉลาดนัก
คุณควรยึดมั่นอยู่กับสิ่งที่คุณรู้และเข้าใจ เลือกใช้วิธีการที่คุณทำแล้วได้ผล อย่าหลงไปตามกระแสข่าวลือหรือการลงทุนที่คุณไม่ได้เปรียบ และหลีกเลี่ยงการลงทุนใดๆก็ตามที่คุณไม่ได้มีความเข้าใจในสิ่งนั้นเลยแม้แต่น้อย
ในบางครั้ง การเทรดที่ดีที่สุดก็คือ การไม่เทรดเลย และตั้งมั่นอยู่ระบบที่เราถือ ผมรู้ดีว่าในช่วงตลาดกระทิงดุนั้น มันมีสิ่งที่เย้ายวนใจมากที่จะทำให้คุณเทรดบ่อยครั้ง เมื่อกราฟเกือบทุกตัวขึ้นไปทะลุ High เดิม คุณรู้สึกเหมือนเด็กที่อยู่ในร้านขนมหวานแล้วไม่รู้จะเลือกหยิบขนมชิ้นไหนดี จงเลือกกราฟเพียงไม่กี่ตัวในจังหวะเวลาที่เหมาะสม อย่าพยายามที่จะไล่เทรดทุกตัว เพราะคุณไม่สามารถทำได้ (ยกเว้นว่าคุณเป็นคอมพิวเตอร์!!!)
เบื้องหลังของความผิดพลาดในข้อที่ 2 และ ข้อที่ 3 มักจะเกิดจากความมั่นใจที่มากเกินไปถึงแม้้ว่าความมั่นใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญในการทำตามแผนและระบบลงทุนของคุณ แต่ถ้ามีความมั่นใจที่มากเกินพอดี (Overconfidence) มันจะก่อให้เกิดผลเสีย เพราะความมั่นใจที่มากเกินไปนั้น เป็น 1 ในเหตุผลสำคัญที่ว่า ทำไมนักลงทุนและนักเก็งกำไรที่มีประสบการณ์จึงยังสามารถขาดทุนได้
เมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกว่า ความสำเร็จของคุณในตลาดมาจากการที่คุณเป็นอัจฉริยะ ไม่ได้มาจากความคิดที่รอบคอบและไตร่ตรองอย่างระมัดระวังในการลงทุน ก็เท่ากับว่าคุณใกล้ถึงเวลาที่จะขาดทุนแล้ว

ข้อที่ 4: เฝ้าดูกราฟมากเกินไป (Watching your stocks too closely)
“การเฝ้ามองกราฟบนหน้าจอทั้งวันนั้น ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆและเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ผมเชื่อว่าการเฝ้าดูทุกคำสั่งซื้อขายจะทำให้คุณขายหมูก่อนเวลาอันควร และ มักทำให้คุณ buy ในราคาที่สูงเกินไปหรือ sell ในราคาที่ต่ำเกินไปของวันนั้น รวมถึงทำการ Overtrading ผมแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการเฝ้ามองกราฟตลอดเวลา และหันไปทำสิ่งอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุนและต่อตัวของคุณเองในช่วงเวลาซื้อขาย เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านั้น”
- Steve Clark –
 “หากคุณใช้เวลาอยู่ในร้านตัดผมสักพักหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็วคุณจะคิดว่าคุณต้องตัดผม ทั้งๆที่คุณหัวล้าน”
– Warren Buffett –
 การเฝ้ามองกราฟอย่างใกล้ชิดจะทำให้เกิดผลเสียต่อผลตอบแทนของคุณ เมื่อคุณเข้าเข้าเทรดแล้ว คุณไม่ควรซื้อขายเพียงเพราะเห็นคำสั่งซื้อขายเล็กๆน้อยๆที่สวนทางกับ Position ของคุณ การเฝ้ามองกราฟมากเกินไปนั้น ก็เปรียบเหมือนคุณนั่งอยู่ในร้านเบเกอรี่แสนอร่อยขณะที่คุณกำลังลดความอ้วน ดังนั้น คุณควรหาสิ่งอื่นทำแทนที่จะนั่งเฝ้าดูกราฟทั้งวัน อย่างเช่นการอ่านหนังสือ ออกกำลังกาย หรือ อะไรก็ตามที่ทำให้ไม่ต้องยุ่งกับการดูราคาหุ้นระหว่างวันมากเกินไป หากคุณยังสงสัยอยู่ว่า ก็ผมเป็นเทรดเดอร์แล้วจะไม่ให้เฝ้าหน้าจอได้อย่างไร? ผมขอทิ้งท้ายไว้ด้วยคำคมของ โซรอส นะครับ ลองเอาไปเปรียบเทียบกับการเทรดดู
“ถ้าคุณออกไปทำงานทุกวัน เพียงเพราะคิดว่าคุณต้องทำอะไรซักอย่าง ผลก็คือ มันทำให้คุณมักจะทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อะไรเพื่อไม่ให้เบื่อไปวันๆ ซึ่งผมคิดว่าคุณควรจะอยู่เฉยๆดีกว่า ปกติแล้วผมจะไปทำงานเฉพาะเวลาที่มีงานให้ทำ ในเวลาที่มันควรค่าแก่การทำจริงๆ ผลก็คือ ผมเรียนรู้ที่จะสามารถแยกแยะได้ว่า วันไหนที่มีงานสำคัญกว่าวันอื่นๆ และรู้ว่าเวลาไหนที่ควรมุ่งมั่นกับงานเป็นพิเศษ”


Credit:http://www.thaiforexschool.com

เทรดมานานแล้วแต่ทำไม่ไม่รวย?

จากบทความวันนี้นะครับ เป็นบทความน่าสนใจอีกบทความหนึ่ง ผมเห็นมีคนกล่าวใน Facbook ซึ่งทำให้ผมนึกสะท้อนในวงการเทรด forex วิธีไหนกันนะที่เราจะประสบความสำเร็จในการเทรดค่าเงินให้รวยได้หรือ ทำกำไรตลาดนี้ได้เป็นระยะนานๆ ลองมาดูข้อความด้านล่างนี้กันนะครับ 

"ผมเชื่อว่าเทรดเดอร์ที่เทรดมานานๆเเล้วโดนตลาดทำร้ายเเล้วเเต่ไม่ยอมเเพ้ นานๆเข้าทุกคนก็จะเป็นเหมือนกันคือ ตกผลึก มีระบบเป็นของตัวเอง การอยู่ในตลาดมานานไม่มีใครหรอกที่จะไม่เก่ง ถ้าไม่เก่งนี่จะเเปลกเอามากๆ หลายคนมีระบบที่เเม่นยำถึง90เปอเซนด้วยกันทั้งนั้น บางคนใน1เดือนเข้าเทรด 50ครั้ง เทรดชนะถึง45ครั้ง เเต่ทำไมเราถึงยังไม่รวย ? คำตอบคือเพราะเราเป็นฝ่ายหยิบยื่นความน่าจะเป็นที่น่าจะชนะในระยะยาวให้โบรก เกอร์นั่นเอง ยกตัวอย่างสมมติว่าเราเล่นไพ่กับเจ้ามือกันสองคน ถ้าเราชนะเราได้2บาท เเต่เจ้ามือชนะจะได้10บาท ถึงเราจะเป็นฝ่ายชนะบ่อยกว่าเจ้ามือ เพราะเรามีเครื่องมือที่ดี มีพรายกระซิบ ผีบอก เเต่ระยะยาวกำไรก็จะตกเป็นของเจ้ามืออยู่ดี เพราะเรากำลังฝืนกฎหลักคณิตศาสตร์ความน่าจะเป็นง่ายๆของเด็กมัธยม เรากำลังพยายามผลักกำเเพงที่เเข็งเเกร่งมากอยู่ (ปล.ผมเชื่อว่าเทรดเดอรืที่เทรดมานานจะติดเกาะเดียวกันเป็นชุมชนที่แออัดมาก คือ อยู่รอดเเละทำกำไรในตลาดได้ เเต่ยังไม่รวย เป็นชุมชนที่หนาเเน่นมาก สำหรับผู้รอดชีวิตขั้นที่ 4! มีเทรดเดอร์เพียง 3เปอร์เซนที่สามารถ ผ่านขั้นที่4 สู่ขั้นที่ 5ได้ โดยใช้กุญเเจดอกสุดท้ายไขออกไป กุญเเจที่ชื่อว่า ..Let profit run... )"

ผมเชื่อว่าเทรดเดอร์ที่เทรดมานานๆเเล้วโดนตลาดทำร้ายเเล้วเเต่ไม่ยอมเเพ้ นานๆเข้าทุกคนก็จะเป็นเหมือนกันคือ ตกผลึก มีระบบเป็นของตัวเอง การอยู่ในตลาดมานานไม่มีใครหรอกที่จะไม่เก่ง ถ้าไม่เก่งนี่จะเเปลกเอามากๆ หลายคนมีระบบที่เเม่นยำถึง90เปอเซนด้วยกันทั้งนั้น บางคนใน1เดือนเข้าเทรด 50ครั้ง เทรดชนะถึง45ครั้ง เเต่ทำไมเราถึงยังไม่รวย ? คำตอบคือเพราะเราเป็นฝ่ายหยิบยื่นความน่าจะเป็นที่น่าจะชนะในระยะยาวให้โบรกเกอร์นั่นเอง ยกตัวอย่างสมมติว่าเราเล่นไพ่กับเจ้ามือกันสองคน ถ้าเราชนะเราได้2บาท เเต่เจ้ามือชนะจะได้10บาท ถึงเราจะเป็นฝ่ายชนะบ่อยกว่าเจ้ามือ เพราะเรามีเครื่องมือที่ดี มีพรายกระซิบ ผีบอก เเต่ระยะยาวกำไรก็จะตกเป็นของเจ้ามืออยู่ดี เพราะเรากำลังฝืนกฎหลักคณิตศาสตร์ความน่าจะเป็นง่ายๆของเด็กมัธยม เรากำลังพยายามผลักกำเเพงที่เเข็งเเกร่งมากอยู่                      (ปล.ผมเชื่อว่าเทรดเดอรืที่เทรดมานานจะติดเกาะเดียวกันเป็นชุมชนที่แออัดมาก คือ อยู่รอดเเละทำกำไรในตลาดได้ เเต่ยังไม่รวย เป็นชุมชนที่หนาเเน่นมาก สำหรับผู้รอดชีวิตขั้นที่ 4! มีเทรดเดอร์เพียง 3เปอร์เซนที่สามารถ ผ่านขั้นที่4 สู่ขั้นที่ 5ได้ โดยใช้กุญเเจดอกสุดท้ายไขออกไป กุญเเจที่ชื่อว่า ..Let profit run... ) 
เป็นบทความสั้นๆ แต่ได้ใจความนะครับ ฝากให้ทุกคนที่เป็นเทรดเดอร์ช่วยเก็บไปคิดดูนะครับ ขอบคุณครับ 

Credit: คุณ หัวใจหล่อมาก ไลค์ อย่างเดียว(Facebook)

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

บริหารเงินด้วย OKPay


OKPAY นำเสนอรูปแบบใหม่ของการชำระเงินแบบมาสเตอร์การ์ดด้วยบัตรเดบิตจำลอง (Virtual Prepaid MasterCard)


           ในปัจจุบัน OKPAY เป็นหนึ่งในการพัฒนารูปแบบไดนามิกทางการเงินที่มากที่สุด. OKPAY สามารถใช้ได้กับลูกค้าทั่วโลกตั้งแต่ปี 2010 ที่มุ่งเน้นให้ลูกค้าได้รับความสะดวกและเต็มปี่ยมไปด้วยการให้บริการทางการเงินที่สามารถเชื่อถือได้เสมอของบริษัท 

           ผู้บริโภคเกือบพันล้านคนทั่วโลกไม่มีบัตรเครดิต และหลายคนที่มีบัตรเครดิตไม่ต้องการที่จะใช้บัตร เพราะเหตุผลกังวลในด้านความปลอดภัยต่างๆ เพื่อบริการให้ทางออกโซลูชั่นสำหรับลูกค้าเหล่านี้ บริษัท OKPAY ขอนำเสนอรูปแบบของบัตรเดบิตแบบจำลอง 

          ประโยชน์หลักของบัตรเดบิตจำลองคือ การรักษาความปลอดภัยสูงสุด , ไม่ต้องมีการประเมินผลเครดิต (ไม่จำเป็นต้องยื่นหลักฐานในการขอรับบัตรเครดิตเหมือนธนาคารทั่วไป ทางบริษัท Okpay อาจจะขอเอกสารที่จำเป็นเท่านั้น ) ,ง่ายพร้อมสำหรับการใช้งานได้ทันที 
ประโยชน์ของ บัตรจำลอง OKPAY Virtual Debit Card 

          OKPAY มาสเตอร์การ์ด (OKPAY MasterCard) เอื้ออำนวยให้ลูกค้าสามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น และแหล่งที่มาของการชำระเงินออนไลน์ที่มีความปลอดภัยและเชื่อถือได้ กับร้านค้าปลีกหลายล้านแห่งทั่วโลก. โดยใช้ระยะเวลาอันสั้นในการสมัครที่ลูกค้าจะได้รับการรับรองและอนุมัติให้ใช้งานบัตรจำลอง (ข้อมูลหลักที่มีในบัตรจำเป็นสำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์) 

          บัตรจำลองมีหมายเลขชั่วคราวสำหรับการใช้งานเพียงครั้งเดียวหรือหลายการซื้อสินค้าออนไลน์ หมายเลขบัตรนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับแฮกเกอร์ เพราะถึงแม้ว่าหมายเลขบัตรจะถูกเปิดเผยก็ไม่สามารถที่จะใช้งานได้เหมือนบัตรเครดิตทั่วไป เพราะไม่สามารถที่จะถอนเงินออกจากบัตรได้ (โดยปกติบัตรเครดิตทั่วไปสามารถที่จะใช้งานได้หากมีบุคคลอื่นทราบรหัสและหมายเลขบัตรของคุณ แต่มันจะไม่สามารถใช้งานได้นี้บัตรจำลองนี้เพราะมีหมายเลขบัตรและรหัสการใช้งานที่สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว)  เพื่อให้การช้อปปิ้งออนไลน์มีความปลอดภัย บริษัท OKPAY แนะนำให้โอนเงินไปยังบัตรจำลอง ในขณะที่เมื่อคุณพร้อมจะซื้อสินค้า การโอนเงินด้วยวิธีนี้สามารถกำหนดค่าใช้จ่ายให้ตรงกับราคาที่ชำระเงิน และยอดเงินในบัตรจะยังคงว่างเปล่าจนกว่าจะมีการชำระเงินในครั้งต่อไป 

          ในปัจจุบัน ลักษณะการโจรกรรมยังคงเป็นความกังวลหลักที่สำคัญ หมายเลขบัตรจำลองจะไม่นำไปสู่หมายเลขบัตรเครดิตจริงหรือบัญชีเงินฝากธนาคารที่เกี่ยวข้องกับมัน. บัตร OKPAY จำลองเป็นบัตรระบบเติมเงิน (Pre-Paid card) ซึ่งหมายความว่ามีวงเงินในการใช้จ่าย, และไม่ได้เชื่อมโยงกับยอดเงินในกระเป๋าเงินของคุณ
ในการสร้างบัญชีใช้เวลาเพียงไม่กี่วันที่จะได้รับหมายเลขบัตรจำลองที่สามารถใช้งานได้ในทันที สำหรับการสั่งซื้อสินค้าบนร้านค้าออนไลน์ ซึ่งเป็นบัตรที่ถูกต้องในการชำระสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีร้านค้ามากกว่า 33 ล้านแห่งทั่วโลกที่ยอมรับระบบ MasterCard ®
"เป้าหมายของเราคือ การสร้างระบบการชำระเงินที่ดีที่สุดให้บริการทางการเงินที่เหมาะสมและสะดวกสบายสำหรับผู้ขายและผู้ซื้อ เราได้ฉลองวันเกิดครั้งที่สองของเราเมื่อไม่นานที่ผ่านมา และเรามีความยินดีที่จะเห็นความพึงพอใจของลูกค้าและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง " คำกล่าวของ Konstantin Romanovsky ,ประธานบริษัท OKPAY และซีอีโอ.
"เรามีความยินดีที่จะปรับปรุง OKPAY. เวลานี้เราต้องการที่จะนำเสนอคุณด้วยตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการช้อปปิ้งออนไลน์ที่ปลอดภัยด้วย – บัตรเดบิต OKPAY จำลอง!” 
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบบัตรเดบิต OKPAY เสมือนจริง (บัตรเดบิต OKPAY จำลอง) สามารถติดตามได้ที่หน้าข่าว OKPAY News. 


เกี่ยวกับบริษัท OKPAY 

Okpay.com เป็นเว็บไซต์ P2P และ B2C ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ระบบการชำระเงินที่มีบัญชีจำลอง สามารถดาวน์โหลดได้ง่าย ,ส่งเงิน,รับเงิน และถอนเงิน ได้ดีเช่นเดียวกับการซื้อสินค้าออนไลน์
OKPAY เป็นระบบระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่แพร่กระจายอย่างกว้างขวาง และเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการ eWallet ชั้นนำของโลก ซึ่งมีผู้ถือบัญชีมากกว่า 300,000 บัญชี    เครือข่ายการชำระเงิน OKPAY นำเสนอตัวเลือกการชำระเงินที่มากมาย สำหรับธุรกิจในกว่า 200 ประเทศภายใต้การบูรณาการเพียงครั้งเดียว. OKPAY ช่วยให้คุณสามารถควบคุมทางด้านการเงินออนไลน์ได้อย่างสมบูรณ์แบบและมีประสิทธิภาพ 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่นี่ https://www.okpay.com/th/company/news/okpay-virtual-cards.html 

สมัครได้ฟรีที่นี่ https://www.okpay.com/th/account/signup.html


OKPAY คือ E-currency ที่พึ่งเปิดใหม่ ซึ่งสามารถซื้อขายเงินได้กับผู้ขาย เหมือนกับ LR และ Webmoney อีกทั้งยังสามารถถอนเงินได้ เหมือนกับ Paypal และ Moneybookers ผ่านธนาคารไทยโดยตรง  

พิเศษสามารถเปลี่ยน E-currency ต่างๆ เช่น LR, AP , PM ให้เป็นเงินใน OKPAY แล้วสามารถกดถอนผ่านธนาคารไทยเช่นกัน หรือสามารถนำไปใช้ในการจ่ายเงินออนไลน์รวมถึงใช้เป็นการฝากถอนเงินในการเล่น Forex


คลิ๊กเพื่อสมัครเปิดบัญชีได้ที่นี้ https://www.okpay.com/


1. ขั้นตอนการสมัครเปิดบัญชี
http://www.e-currencystore.com/e-curren ... okpay.html

2. วิธีการ verify บัญชี (ต้อง verify บัญชีก่อน ถึงจะถอนเงินได้)
http://www.e-currencystore.com/e-curren ... okpay.html

3. วิธีเพิ่มบัญชีธนาคาร
http://www.e-currencystore.com/e-curren ... okpay.html

4. วิธีฝากเงิน และเปลี่ยน LR เป็นเงินในบัญชี OKPAY เพื่อกดถอนเงินผ่านธนาคารไทย
http://www.e-currencystore.com/e-curren ... okpay.html


หมายเหตุ 

1. ถ้าจะเอาขั้นตอนต่างและรูปภาพไปเผยแพร่ กรุณา ให้เครดิตด้วยนะครับ  " e-currencystore.com "
2. หนึ่งคน ต่อ หนึ่งบัญชีเท่านั้นครับ หากสมัครมากกว่าหนึ่งบัญชี โดนลบ ครับ
3. ถ้าจะเปลี่ยนจาก LR, AP และ PM เป็นเงิน ใน OKPAY ขั้นต่ำ 100 ดอล ครับ
4. ส่วนบัตรตอนนี้เปิดให้กรอกและขอบัตรเดบิตได้แล้วนะครับ ดังนั้นมีทางเลือกสามแบบใน OKPAY สำหรับถอนเงิน

- ผ่านธนาคารโดยตรง ข้อดีคือ รวมค่าธรรมเนียมแล้วประหยัดกว่า แต่ข้อเสีย ต้องถอนอย่างต่ำ 500 ดอล และถ้าจะให้ได้ค่าธรรมเนียมถูกสุดคือต้องถอน 5000 ดอล และรอ 2-5 วันทำการ
- บัตร Master Debit Card ข้อดีคือ ยอดเงินไม่ถึง 500 ดอล ก็กดถอนได้ สะดวกรวดเร็ว ข้อเสีย เสียค่าธรรมเนียมบัตร 
- ถอนผ่าน Exchanger ซึ่งกำลังจะมีให้บริการเร็วๆนี้


เลข SWIFT CODE ธนาคารต่างๆ ในประเทศไทย
ธนาคารกรุงเทพ : BKKBTHBK 
ธนาคารไทยธนาคาร : UBOBTHBK
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา : AYUDTHBK
ธนาคารกสิกรไทย : KASITHBK 
ธนาคารกรุงไทย : KRTHTHBK
ธนาคารนครหลวงไทย : SITYTHBK 
ธนาคารไทยพาณิชย์ : SICOTHBK
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ : SCBLTHBX
ธนาคารทหารไทย : TMBKTHB 
ธนาคารยูโอบี : BKASTHBK


วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

Leverage คืออะไร





Leverage 1:100 แปลว่า เราใช้ทุนของเราเองเพียง 1 เพื่อสั่งซื้อ-ขาย 100 เช่น เราจะสั่งซื้อ EUR มาถือไว้ โดยจะซื้อที่ราคา 1.3502 จำนวน 100 USD (คือได้มา 74.0631 EUR) เราไม่ต้องใช้ 100 USD ครับ เราจะใช้เพียง 1 USD เพื่อแลก 74.0631 EUR มาถือไว้ ซึ่งเมื่อเราขายคืนไปที่ 1.3552 หรือกำไรมา 0.0050 แทนที่เราจะกำไรแค่ นั้น จะกลายเป็นว่าเราจะทำกำไรได้ 0.50 usd แปลว่าเราสามารถทำกำไรได้ 50% จากเงินที่เราลง (เราลงเพียง $1 เพื่อทำกำไร $0.50)

แต่ไม่ต้องห่วง นะครับ ว่าเราจะมีเงินพอรึเปล่า เวลามี Leverage แบบนี้ เพราะเวลาเทรดเราจะสั่งเทรดอย่างมาก ไม่เกิน 40% ของทุน (แต่แนะนำที่ 10% ครับ จะได้มีเหลือไว้แก้ตัว) เช่นถ้าเรามีทุน $100 เราก็สั่งเทรดเพียง $10 หรือ 10% (แต่เวลาสั่ง $10 คือ 1,000 unit นะครับ ที่ Leverage 1:100) 10% ที่ใช้ เราจะเรียกว่า used margin เวลาราคาวิ่งขึ้นหรือลง มันจะมาบวก หรือ ลบ ที่ 90% ที่เหลือ หรือที่เรียกว่า available margin หากเราติดลบไปเรื่อยๆ จน available หมด ระบบจะทำการตัดขาดทุน โดยการปิด order นี้ โดยอัตโนมัติ นั่นคือ โบรกเกอร์จะไม่ยอมขาดทุนแทนเราหรอกครับ

คิด คร่าวๆ คือ เราจะทำกำไร (ขาดทุน) ได้ ประมาณ 1% ต่อ pip จากเงินทุนของเรา (คู่อื่นอาจจะไม่ถึง 1% บางคู่ก็มากกว่า เช่น EUR/GBP ตกประมาณ 2% ครับ)

นั่น หมายความว่า ด้วยทุนเพียง $100 (3,400 บาท) คุณจะสามารถทำกำไรได้ถึงจุดละ $1 (สั่งเทรด 10,000 unit) หากทำได้ 10 จุดต่อวัน ก็วันละ $10 หรือ 340 บาท (โดยประมาณ) หรือวันละ 10%

และด้วยทุนเพียง $1,000 (34,000 บาท) เราจะสามารถทำกำไรได้ถึงจุดละ $10 (สั่งเทรด 100,000 unit) หากทำได้ 10 จุดต่อวัน ก็วันละ $100 หรือ 3,400 บาท

หรืออาจจะเริ่มเพียง $1 (34 บาท) โดยจะได้จุดละประมาณ 1 เซ็นต์

ค่อยๆ สะสมไปก็ได้ครับ เพราะมีแล้วคนที่ปั้น $5 จากทุนฟรีที่ Marketiva มีให้ ไปเป็น $1,000 ใน 3 เดือน

ลอง คิดดูเล่นๆู ล่ะกันครับ ถ้าเพียงคุณสามารถทำกำไรได้ 10% ของทุนต่อวัน เพิ่มไปเรื่อยๆ 6 เดือน (120 วันเทรด) จะเป็นเงินเท่าไหร่ จากทุนเพียง $5

เป็น $463,545.34 หรือ 15,765,541.60 บาท ครับ โอ้ววววว พระเจ้าช่วย (ทำได้แค่ 5% ของไอเดียนี้ก็หรูแล้วครับ)

ปกติ EUR/USD จะไม่แรงมาก ทำวันละ 20-30 จุดได้ หากเป็นบางคู่ เช่น GBP/JYP (ทุกวันนี้ผมเล่น GBP/JYP เป็นหลัก เพราะแรง เร้าใจ) ผมเคยทำได้มากสุด +250 จุด เพียงช่วงเวลาที่ผมหลับ (เที่ยงคืน) จนมาถึงเวลาที่ผมตื่น (7 โมงครึ่ง) หรือ 250% ของเงินทุนที่ผมเทรด

ที่ FxOpen ให้เราสามารถ up Leverage ได้สูงสุดถึง 1:500 นั่นแปลว่า เราใช้ทุนตัวเองเพียง $200 ในการเทรด 100,000 unit (หรือ 1 lot จะได้จุดละ $10) เองครับ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Leverage ก็เป็นดาบ 2 คม ที่ทั้งทำให้ รวย-จน ได้ในพริบตา

Leverage และการที่มันวิ่งขึ้นลงทั้งวัน นี่แหล่ะครับ ที่ทำให้ Forex สนุก และเร้าใจ

อธิบายเพิ่มเติม เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นครับ...

Leverage ที่มากขึ้น ทำให้ใช้ margin น้อยลงครับ เช่น

หากเราสั่งเทรด 1 Lot (บน mt4 จะมีค่าเท่ากับการเทรด Quantity = 100,000 unit ที่ marketiva)

หากใช้ Leverage 1:100 จะใช้ margin = $1,000 โดย 1 pip จะมีค่า = $10
หากใช Leverage 1:200 จะใช้ margin = $500 โดย 1 pip จะมีค่า = $10
หากใช Leverage 1:500 จะใช้ margin = $200 โดย 1 pip จะมีค่า = $10

สังเกต นะครับ ผมสั่งเทรดจำนวนเท่ากัน คือ 1 Lot (หรือ Quantity = 100,000 unit ที่ marketiva ซึ่ง) และ 1 pip นั้น ไม่ว่าจะใช้ Leverage เท่าไหร่ จะมีค่าเท่ากัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ margin ที่ใช้ลดลง

ข้อดีของ Leverage ที่มากขึ้น คือการได้ใช้ margin ลดลง อาจะทำให้ถือลบ ได้นานอีกหน่อย (ถ้าจะถือจนลบหมดตัว)

แต่ ข้อเสียคือ ถ้ามองถึงการใช้ margin และยังคงดูเรื่อง fund management ที่เราพยายามเทรดไม่เกิน 10% ของทุน การที่ Leverage มากขึ้น เช่น เพิ่มจาก 1:100 ไปเป็น 1:200 แล้วเรายังคงเทรดโดยใช้ margin 10% สิ่งที่จะแตกต่างกันคือ (ถ้าทุน $10,000 เทรด โดยใช้ margin $1,000)

1:100 ต้องสั่งเทรด 1 Lot (หรือ 100,000 Quantity) เพื่อใช้ margin $1,000 จะได้ 1 pip = $10 ซึ่งถ้า -900 จุด จะโดน cut loss

แต่

1:200 ต้องสั่งเทรด 2 Lot (หรือ 200,000 Quantity) เพื่อใช้ margin $1,000 จะได้ 1 pip = $20 ซึ่งถ้า -450 จุด จะโดน cut loss
(จริงๆ marketiva สั่งได้มากสุดแค่ 100,000 แต่ e-mail ขอ support เพิ่มเป็น 200,000 ได้)

ซึ่ง ถ้าจะใช้ให้ถูก ถึงเราจะเลือก 1:200 เราก็ควรจะเทรดที่ 1 Lot (หรือ 100,000 Quantity) เหมือนเดิม เพื่อที่จะใช้ margin ลดลงเหลือ $500 ซึ่ง 1 pip จะยังคง = $10 และจะโดน cut loss เมื่อ -950 จุด (ยืดมาได้ 50 จุด จากที่ใช้ 1:100 ที่ลบได้แค่ 900 จุด)

ป.ล. marketiva เราไม่สามารถเลือก Leverage ได้ครับ ต้องใช้ 1:100 ครับ - สำหรับโบรกอื่น จะเป็นโปรแกรมเทรดที่เรียกว่า mt4 (เช่น FxOpen, FxClearing และ LiteForex) สามารถเลือก Leverage ได้

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2555

วางแผนเป็น.ชนะไปครึ่งทาง

"สุดยอด" เทคนิค วางแผนเป็น...ชนะไปครึ่งทาง
หลักการวางแผนนั่นจริงๆแล้วมีมากมาย
หลังจากการได้เรียนรู้จากประสบการณ์และจากการอ่านตามหนังสือต่างๆ กฏข้อใหญ่ๆมักจะพูดเสมอ
ให้คิดเสมอๆ การเข้าครั้งนี้จะไม่ขาดทุน (เพื่อเตือนสติให้ตัวเอง)
              :: รักษาเงินต้นไว้ให้ดี
              :: ควรทำอย่างไรจึงได้กำไร (หลักอะไรบ้าง วิธีใดบ้าง เวลา จังหวะ ความเหมาะสม)
              :: และควรเทรดอย่างไรให้เทรดได้ผลกำไรต่อเนื่อง สม่ำเสมอ
1  อย่าพยายามเทรดในช่วงที่เราไม่รู้ (ช่วงที่อ่านกราฟไม่ออก มองไม่ชัดเจน กราฟไม่สวย ไม่แน่ใจ...)
2  อย่ารีบจนเกินไปและยื้อการขาดทุน ( อย่าปล่อยให้ความโลภยืนเหนือเหตุผล และขาดทุนเพราะคิดว่าเดี๋ยวก็กลับมา)
3  อย่าต่อต้าน แนวโน้มหลัก ( กราฟมักจะมีแนวโน้มเสมอๆ ระยะสั้นๆอาจจะsideway แต่ระยะเวลามากขึ้นยังคงเป็นขาขึ้นอยู่..)  
4  จงเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง ( ทำอย่างไรเพื่อให้ขาดทุนน้อยลง ทำอย่างไรที่จะหาวิธีในการลงทุนที่สามารถทำกำไรได้ เรียนรู้ความผิดพลาด
ตลาดสอนอะไรเรา ตัวไหนที่มักจะทำกำไรให้เราเสมอๆ หาเหตุและผล เพราะอะไร)            
5  ทำการบ้านก่อนเทรดเสมอๆ จดและบันทึกลงสมุด ( มองกราฟ วิเคราะห์กราฟจาก 1d --->4h--->1h--->30h--->15m ความสัมพันธ์เป็นยังไง เริ่มลงทุนควรเริ่มที่เท่าไหรก่อน ตามความเหมาะสมของลักษณะกราฟว่ามั่นใจแค่ไหน หลายๆคนมักจะมองข้ามการจดบันทึก จดตัวที่เราสนใจจุดไหนน่าสนใจ ถ้าเข้าแล้วจุดไหนควรออกยอมตัดขาดทุน แนวรับแถวไหน แนวต้านแถวไหน มาถึงตรงนี้ถึงเข้าเลื่อนลงไปตัดขาดทุนทันที หลายๆคนมักมองข้ามแบบแผนนี้เสมอๆ ส่วนใหญ่มักเปิดกราฟแล้วเทรดเลยเป็นวิธีคิดที่หยาบเกินไปยังไม่ละเอียดพอ)
6 มีสมาธิในช่วงนั่นๆ (เงินทำเงินควรตั้งใจและมีสมาธิ)












จุดนี้น่าสนใจมากๆ

แนวทางหลักการของ วอเร็น บัฟเฟ็ตต์  

โดยทฤษฎีของ บัฟเฟ็ตต์ นั่นจะลงทุนโดยแนวคิด พื้นฐาน วินัย ความอดทน  เป็นทฤษฎี ค่อยๆรวย โดยลงแบบผู้รอบรู้ หลักสูตรรวยทางลัดไม่มี มักจะกลายเป็นหลักสูตรจนทางลัดแทน
โดย เราจะนำแนวคิดของบัฟเฟ็ตต์มาประยุกต์ใช้ทาง Technical Analysis ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนแบบ speculate (เก็งกำไร เล่นสั้น) นักลงทุนระยะกลาง ระยะยาว ใช้ได้หมด

1. เลือกความเรียบง่ายมากกว่าความซับซ้อน 
2. ฝึกความอดทน  (รอจังหวะที่ดี อย่ารีบ)
3. มีสติและควบคุมอารมณ์ได้
4. คิดอย่างอิสระ
5. ไม่สนใจ ไม่วอกแวกจากภาพรวมภายนอก
6. ไม่ลงทุนด้วยสัญชาตญาณ (คิดเอง เดาเองหรือเสี่ยงเล่นดู ) 
7. ฝึกการอยู่นิ่งๆ ไม่ซื้อขายมากเกินไป
8. เป็นนักฉวยโอกาสเมื่อตลาดมีสภาวะสดใส ชัดเจน
9. อย่าตีบอลทุกลูกที่ขว้างมา (อย่าเข้าๆออกๆบ่อยเกินไป)
10. จงอยู่ในขอบเขตความรู้ของคุณ (มีความรู้แบบไหนก็ใช้วิธีเล่นแบบที่คุณรู้ )
11. จงตื่นกลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภและจงโลภเมื่อคนอื่นกำลังตื่นกลัว
12. อ่านและอ่านให้มากแล้วคิดให้ดี
13. อย่าทำพลาดแล้วเรียนรู้จากความผิดความของผู้อื่น
14. ก้าวสู้การเป็นนักลงทุนผู้รอบรู้และ ฝึกที่จะพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

...เดี๋ยวมาดูกันว่า วางแผนเป็น มีหลักการคิดที่ดี มีกลยุทธ์ที่ดี โดยประยุกต์ใช้แนวทางบัฟเฟตต์มาใช้ทาง Technical Analysis....

ลงทุนโดยใช้ Technical Analysis

ลงทุนด้วยความเรียบง่าย ชัดเจน อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน มองกราฟแบบง่ายๆ มองกราฟให้ออกก่อน แบบที่เราเข้าใจ มีแนวโน้ม ไม่ซับซ้อนเกินไป มองแนวรับ แนวต้านที่ชัดเจน(แข็งแกร่ง)

"เมื่อมองกราฟ แล้วคุณเข้าใจ"

------------------------------------------------------------------------

อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน
บัฟเฟตต์ให้แนวคิดค้นแนวทางสู่ความสำเร็จโดยลงทุนหุ้นที่ไม่ซับซ้อนโดยที่ตัวเขาเองไม่สามารถเข้าใจได้ หลักการที่ 
บัฟเฟตต์เรียนรู้จาก เบนจามิน เกรแฮม อาจารย์ของเขา คือ คุณไม่จำเป็นต้องทำเรื่องยากๆเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเยียม  ทำให้ง่ายๆคือเป้าหมายของคุณ” นี่คือแก่นแท้ของปรัชญาการลงทุนแบบ บัฟเฟตต์ หลักการง่ายๆนี้แสดงให้เห็นถึง
ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

"ถ้าคุณไม่เข้าใจ มองกราฟไม่ออก อย่าเข้าซื้อ-ขายเด็ดขาด"
ดูตามรูปครับ  1 และ 1.1----->ลงทุนด้วยความเรียบง่าย ชัดเจน อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน
               2,2.1,2-2---->อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน (ควรอดทนรอและอยู่นิ่งๆ)













จงตัดสินใจลงทุนด้วยตัวคุณเองและมีสติตลอดเวลา

บัฟเฟฟต์ แนะนำว่า ปล่อยให้คนอื่นๆตื่นตระหนกไปกับตลาดแล้วเมื่อมันสงบคุณจะได้ประโยชน์จากมัน  
ควรเป็นนักลงทุนผู้รอบรู้  มีสติที่ดี คุณต้องควบคุมอารมณ์ได้ตลอดเวลา การมีสติที่ดียังหมายถึง ควบคุมจิตใจเมื่อต้องรับมือกับสภาวะต่างๆในตลาด สติ ดีที่ยังหมายถึง การมีวินัย คุณจะทำอย่างไรถ้าตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์  และคุณจะทำอย่างไรเมื่อเป็นตลาดกระทิงหรือตลาดหมีเต็มตัว

ควรระวังสติของตัวเองในด้านความโลภและความกลัว
 ควรเปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้า กล้าที่จะซื้อ-ขาย(เมื่อมองเห็นสัญญาณ)กล้าที่จะยอมตัดขาดทุนให้ไว (เมื่อรู้ว่าผิดทาง มีการกลับตัวของทิศทาง) ควรตัดความโลภภายในใจตัวเอง


เบนจามิน เกรแฮม  อาจารย์ของบัฟเฟตต์ เคยพูดว่า ปัญหาใหญ่และศัตรูตัวร้ายของนักลงทุนก็คือตัวเขาเอง อย่าตื่นตกใจในความสับสนของตลาด อย่าปาเป้าโดยการซื้อ-ขาย บ่อยๆและตลอดเวลา
(จากการวิจัยพบว่า ยิ่งซื้อ-ขายมากเท่าใดโอกาสขาดทุนก็มากเท่านั่น)
รู้จักตัวเองและตัดสินด้วยตัวคุณเอง คุณต้องมีวินัยและความอดทน ทำการบ้านของคุณและคิดให้รอบคอบเพื่อตัวคุณเอง


บัฟเฟตต์พูดว่า ความสำเร็จในตลาดหุ้นนั้น คุณต้องการเพียงแค่สติปัญญาธรรมดาๆ และต้องการความสามารถในการควบคุมอารมณ์และจิตใจ   ถ้าคุณสามารถใจเย็นอยู่ได้ในขณะที่คนอื่นๆรอบข้างกำลังตกใจคุณก็เป็นต่อในการลงทุน

จงอดทน
บัฟเฟตต์เรียนรู้อย่างรวดเร็วว่า การลงทุน ต้องมีความอดทน
ความ อดทนไม่ใช้เรื่องง่ายๆแต่เป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งของการควบคุมอารมณ์ในการ ลงทุน (เมื่อรู้กราฟเป็น sideway เลี่ยงโดยการปิดโปรแกรมแล้วหาอย่างอื่นทำดีกว่า) อย่าปล่อยให้ความอยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการอดทนรอในช่วงที่ไม่น่าเข้าเทรด

เมื่อ ซื้อ-ขายจงใจเย็นและไม่หลงระเริงไปกับ “ความฟุ่มเฟือยที่ไม่เหมาะสมและตกอยู่ในอำนาจของความกลัวเพราะถ้าแนวโน้ม ขึ้นก็มักจะขึ้นต่อไป แต่จงอย่าโลภเมื่อมีสัญญาณกลับตัวให้เห็น(ออกให้เร็ว) มีวินัยเมื่อระบบเปลี่ยนทิศทาง

เบนจามิน เกรแฮม เคยกล่าวในหนังสือ “The Intelligent Investor” ว่าเราได้เห็นเงินจำนวนมากตกเป็นของคนธรรมดาๆที่ รู้จักการควบคุมสติให้เหมาะสมกับขบวนการลงทุนของพวกเขา มากกว่าพวกที่มีความรู้ด้านการเงินการบัญชีและผู้เชี่ยวชาญที่ขาดความอดทน

จงซื้อ-ขายต่อเมื่อคุณมั่นใจและแน่ใจแล้วเท่านั่น ถ้ายังไม่มั่นใจควรอยู่นิ่งๆก่อน อย่ามองและเช็คกราฟตลอดเวลา(รอจังหวะให้เป็น)
---------------------------------
Ex.รูปการเทรดไม่จำเป็นต้องเข้าๆออกๆ บ่อยครั้งในหนึ่งวัน
    รูปคุณต้องมีวินัยและความอดทน ทำการบ้านของคุณและคิดให้รอบคอบเพื่อตัวคุณเอง

วางแผน จดบันทึก และลากวาดเส้นลงบนกราฟ นำหลักการของ John Murphy มาต่อยอด

มองหาแนวโน้ม
ใน กราฟมีแค่ แบบ ขาขึ้น ขาลง ด้านข้าง ใช้กราฟวิเคราะห์ราคาจากระยะยาวเมื่อมองภาพใหญ่จะเห็นว่าตลาดเป็นรูปแบบไหน ทำอะไรอยู่และจะมองภาพรวมตลาดได้ง่ายขึ้น

เมื่อมองภาพระยะยาว(กราฟวัน สัปดาห์ เดือน)แล้วจึงค่อยมามองภาพระยะสั้น(ระหว่างวัน) การไปดูกราฟระยะสั้นๆก่อนมักจะทำให้มองผิดพลาดได้ง่ายกว่า(เกิดการหลอก ของกราฟ)เพราะแนวโน้มกราฟมักจะเดินทางตามกราฟระยะยาวเสมอๆ ดังนั่นถ้าคุณเป็นนักเทรดระยะสั้น วันต่อวัน นักเก็งกำไร คุณควร ซื้อ-ขาย ตามแนวโน้มระยะกลาง และระยะยาว


เดินทางไปกับแนวโน้มนั่นๆที่เกิดขึ้น  
พิจารณาแนวโน้มที่เกิดขึ้นว่าเป็นแบบไหนเมื่อรู้แล้วจึงเดินตามแนวโน้มทางนั้น
แนว โน้มของตลาดจะมีทั้ง  ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว คุณต้องรู้ก่อนว่าคุณเป็นนักลงทุนประเภทไหน สั้น กลาง ยาว แล้วจึงเลือกกราฟให้เหมาะสม เมื่อถึงเวลาเทรดให้เทรดไปตามทิศทางแนวโน้มตามระยะเวลาที่คุณเลือก

''สำคัญ'' ซื้อเมื่อตอนที่ราคาลดต่ำลงมา(ลงมาปรับฐาน พักตัว ทำแนวรับ)ในแนวโน้มของเทรนขาขึ้น
            ขายเมื่อตอนที่ราคาดีดตัวขึ้นไป(ขึ้นมาปรับฐาน พักตัว ทำแนวต้าน)ในแนวโน้มของเทรนขาลง 

ถ้าคุณเป็นนักลงทุนระยะกลางให้ใช้กราฟรายวัน รายสัปดาห์


ถ้าคุณเป็นนักลงทุน ซื้อ- ขายภายในวันเดียว ใช้กราฟวันและระหว่างวัน
อย่าง ไรก็ตามจะเลือกเทรดแบบไหน เราต้องดูกราฟที่ระยะยาวกว่าเพื่อดูแนวโน้มก่อน แล้วจึงใช้กราฟระยะเวลาที่เราต้องการเทรดสำหรับการซื้อ-ขาย

ดูตัวอย่างรูป ของการมองหาแนวโน้มจากระยะยาว เพื่อไปเทรดระยะสั้น
 รูป 1 (รูปกราฟ1dมองว่าเกิดอะไรอยู่) 2 (รูป4hว่าเกิดอะไรอยู่) 3 (รูป15เพื่อหาจังหวะเทรด) จากเวลา เดียวกัน  และตัวอย่าง ซื้อที่แนวรับ  ขายที่แนวต้านของการเดินทางแนวโน้มที่เกิดขึ้น รูปของขาขึ้น   รูปของขาลง









หาจุดต่ำสุดของราคาและจุดสูงสุดของราคา
รู้จุดต่ำสุด คือ แนวรับ จุดสูงสุด คือ แนวต้าน หาให้เจอ(แล้วขีดไว้กันลืม) 
หาแนวรับและแนวต้าน
ตำแหน่งที่ดีที่สุดคือ ซื้อที่แนวรับ(ใกล้ๆแนวรับ) ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น 
ตำแหน่งที่ดีที่สุดคือ ขายที่แนวต้าน(ใกล้ๆแนวต้าน) ในช่วงแนวโน้มขาลง

เมื่อ ราคาทำยอดสูงใหม่กว่าจากนั้นจะกลับมาเป็น(แนวรับ) เมื่อราคาวกกลับลงมาหรือเรียกว่า สูงเก่ากลายเป็นจุดต่ำใหม่ (ของแนวโน้มขาขึ้น)
เมื่อราคาทะลุจุดต่ำสุดจากนั้นจะดีดกลับมาเป็น(แนวต้าน) เมื่อราคาดีดตัวขึ้นไป เรียกว่า ต่ำเก่ากลายเป็นจุดสูงใหม่ (ของแนวโน้มขาลง)
ดูตัวอย่างรูป ขาขึ้น และ ขาลง

------------------------------------------------------------------------------------------------------

การปรับฐาน ราคาจะปรับฐานลึกแค่ไหน
การขึ้นก็ขึ้นเป็นรอบ ในรอบการขึ้นก็ต้องมีการปรับฐานเพื่อขึ้นต่อ
การลงก็จะลงเป็นรอบ ในรอบการลงก็ต้องมีการปรับฐานเพื่อลงต่อ
รอบการขึ้น รอบการลงมีการปรับฐานเหมือน คลื่น  
เราสามารถวัดการปรับตัวที่เกิดขึ้นได้ในสัดส่วนง่ายๆ
การปรับตัวที่ระดับ 50% ของแนวโน้มก่อนหน้าเป็นสิ่งที่พบเห็นบ่อยที่สุด
สัดส่วนที่น้อยที่สุดมักจะเป็นหนึ่งในสามของแนวโน้มก่อนหน้า(33.38%) ของการปรับตัวและมากที่สุดสองในสาม(66.66%)

สำหรับการปรับตัวตามตัวเลข Fibonacci คือ 38% และ 62%เป็นตัวเลขที่สำคัญของการปรับฐานหรือปรับตัวของราคา
เมื่อ เกิดแนวโน้มขาขึ้นหากจะซื้อควรรอการปรับฐานโดยดูตามระดับตัวเลข Fibonacci ที่สำคัญๆเพราะมักจะเป็น แนวรับที่สำคัญ เพื่อลงมาสะสมแรงแล้วไปต่อ  
ดูตัวอย่างรูป เตรียมลาก และ fibo@ จังหวะแรก fibo@2จังหวะที่สองของแนวโน้ม fibo@3จังหวะที่สามของแนวโน้ม

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ลากเส้น(แนวโน้ม)
ลากเส้นแนวโน้ม เส้นแนวโน้มเป็นการมองและลากง่ายๆแต่ได้ผล สิ่งที่ต้องทำก็แค่ลากเส้นแนวโน้ม
ขาขึ้นของการลากก็จะมีการพักตัวในเส้นที่ลากแล้วขึ้นต่อ
ขาลงของการลากก็จะมีการพักตัวในเส้นที่ลากแล้วลงต่อ
จนกว่าจะมีการทะลุเส้นแนวโน้มนั่นๆได้มักจะเกิดสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มนั่นๆ
เส้น ที่ดีควรมีการแตะของราคาอย่างน้อยถึงสามครั้ง(ไม่ทะลุหลุดเส้น)  เส้นยิ่งยาวยิ่งดีบอกแนวโน้มนั่นแข็งแรง(ลากแล้วหลุดเร็วแสดงเส้นสั้น)
และยิ่งถูกทดสอบโดยการแตะที่เส้นมากเท่าไหร่(เหมือนสะสมแรง)ยิ่งเป็นนัยสำคัญที่ต้องพิจารณา

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ใช้เส้นค่าเฉลี่ย
เส้นค่าเฉลี่ยจะให้สัญญาณในการซื้อ – ขาย บอกถึงแนวโน้มขณะนั้นยังเกิดขึ้นอยู่หรือว่าเปลื่อนแล้ว
เส้นค่าเฉลี่ยไม่ได้บอกแนวโน้มอนาคตว่าราคาจะไปทางไหนแต่ก็สามารถบอกถึงการเปลื่อนแนวโน้มได้ดีมากๆ
การใช้เส้นค่าเฉลี่ย เส้นเป็นที่นิยมในการหาสัญญาณซื้อ-ขาย   ส่วนใหญ่จะนิยมใช้เส้น 4และ9วัน  9และ18วัน หรือ 5และ20วันเป็นต้น
สัญญาณจะเกิดขึ้นเมื่อตัดกันขึ้นซื้อ ตัดกันลงมาขาย 
การใช้เส้นค่าเฉลี่ย40วันเพื่อหาจุดซื้อ-ขายก็เป็นสัญญาณที่ดีอีกตัวหนึ่ง
และเนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยเป็นตัวหาแนวโน้ม ดังนั้นจะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อตลาดมีแนวโน้มชัดเจน
ตัวอย่างรูป เส้นค่าเฉลี่ย 40 วัน (sma40)











สามารถลากจากไหนก็ได้ชอบแบบที่ราคาเปิดปิด หรือ ชอบลากแบบใส้เทียน ใช้แบบไหนก็ได้ครับฝึกดูไปเรื่อยๆครับ แต่เมื่อหลุดแล้วไม่เป็นไปตามทิศทางที่เรามองมีทางเดียวเลยครับ ยอมตัดขาดทุนแล้วเริ่มครั้งใหม่ ไม่มีระบบไหนถูกทุกครั้งครับ ทุกระบบถูกเลือกมาให้ถูกมากกว่าผิด แต่ระบบทุกระบบก็ต้องการทำตามอย่างมีวินัยสูงด้วยเช่นกัน การมีวินัยจะช่วยให้การเสียหายขาดทุนน้อย แต่ถูกทางจะกำไรมากเสมอๆครับไม่เชื่อลองมีวินัยดูครับ....

ข้อสอง ระยะสั้น มีตัวpivot ที่ใช้ดูระยะ 15m ใช้ได้ดีในการเล่นหนึ่งวัน ส่วนระยะกลาง ระยะยาว ต้องลากมือเพื่อหาเป้าหมายหรือจะดูจาก แนวรับ แนวต้าน อดีตว่าเคยขึ้น ลงไปที่จุดไหนและอนาคตมักจะวิ่งที่พักตัวที่ระดับจุดที่อดีตเคยขึ้นมาถึง ลงมาถึงเช่นกันครับ

ข้อสาม ส่วนใหญ่น่ะครับ พอมีแนวโน้มขึ้นหมดรอบขึ้นแล้วมักจะเกิดคลอเคลีย(sideway)หรือพักตัวก่อน เสมอแล้วมีแนวโน้มครั้งต่อไป  เปรียบ เสมือนการวิ่งครับเมื่อเราวิ่งมานานเราเหนื่อยเราก็ต้องพักก่อน เมื่อพักเราก็หายเหนื่อย(สะสมแีรงนั่นเอง) พอหายเหนื่อยเราจึงวิ่งต่อ สรุปแล้วเกิดแนวโน้มครบหนึ่งรอบแล้วพักเพื่อสะสมแรงแล้วจึงวิ่งครั้งต่อไป ครับ ราคาการขึ้นลงของกราฟก็มีอารมณ์และความรู้สึกเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตเช่น เดียวกันครับ เป็นไปตามธรรมชาติทั้งนั่นครับ ขยันมอง ขยันสังเกตุและขยันมีวินัยครับ เดี๋ยวก็เก่งครับ  

เอารูปแบบต่างๆมาฝากจำไม่ได้แล้วเอามาจากเว็บไหน..



ฝึกให้ทานจนเป็นนิสัย ความโลภจากกำไรและควมโลภของการไม่กล้า stop loss จะหายไปเอง
ที่มา http://thailandinvestorclub.com/